ใครๆก็แก้กฎหมายได้(คุณก็ด้วย)
Bookmark and Share

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

เพลี้ยแป้งยังระบาดในไร่มันสำปะหลังของเกษตรกรบุรีรัมย์ใน 11 อำเภอ เสียหายแล้วกว่า 8.2 หมื่นไร่

เพลี้ยแป้งมันระบาดบุรีรัมย์เสียหายกว่า 8.2 หมื่นไร่

18 มีนาคม 2553 เวลา 14:41 น.

เพลี้ยแป้งยังระบาดในไร่มันสำปะหลังของเกษตรกรบุรีรัมย์ใน 11 อำเภอ เสียหายแล้วกว่า 8.2 หมื่นไร่

นายศานติ   นึกชอบ   เกษตรและสหกรณ์จังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ได้ประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จากเพี้ยแป้งระบาดในไร่มันสำปะหลังเพิ่มเป็น 11 อำเภอแล้ว โดยอำเภอที่ระบาดมากที่สุด คือ อ.โนนสุวรรณ  ปะคำ  และ อ.หนองกี่  และจากข้อมูลพบว่าขณะนี้มีพื้นที่ไร่มันของเกษตรกรได้รับผลกระทบแล้วกว่า 82,000 ไร่  จากพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังทั้งจังหวัดกว่า 240,000 ไร่ 
 
ทั้ง นี้ยังมีแนวโน้มการแพร่ระบาดของเพี้ยเพิ่มมากขึ้น   เนื่องจากสภาพที่แห้งแล้งจะเอื้อต่อการแพร่ระบาดได้ง่าย      อย่างไรก็ตามขณะนี้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรกร  ได้จัดเจ้าหน้าที่เร่งออกให้ความรู้เกษตรกร   เกี่ยวกับวิธีป้องกันและกำจัดเพี้ยแป้งอย่างต่อเนื่องแล้ว     

เกษตรและสหกรณ์จังหวัด   ยังระบุอีกว่า   หลังมีการประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติ  ขณะนี้ก็ได้จัดซื้อสารเคมีแจกจ่ายให้เกษตรกร นำไปฉีดพ่นเพื่อกำจัดเพี้ยแป้งในเบื้องต้นแล้ว     ส่วนเงินชดเชยไร่มันที่ได้รับความเสียหาย  และท่อนพันธุ์ที่เกษตรกรร้องขอ เพื่อนำไปเพาะปลูกในฤดูกาลผลิตหน้า  กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาดำเนินการ

http://www.posttoday.com/%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A1.-%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B9%8C/%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99/17286/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2-8-2-%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%88


--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553

JasMin Jaja มุมสะท้อนความคิกเรื่องคนไร้บ้าน จากวรรณคดี ระเด่นลันได


 


มุมสะท้อนความคิดเรื่องคนไร้บ้าน จากวรรณคดี ระเด่นลันได :

JasMin Jaja มุมสะท้อนความคิดเรื่องคนไร้บ้าน จากวรรณคดี ระเด่นลันได

 วันจ. เวลา 0:52 น.

บทละครเรื่อง ระเด่นลันได ถ้าอ่านโดยไม่ทราบเค้ามูล ก็คงจะเข้าใจว่า เป็นบทแต่งสำหรับ เล่นละครตลก แต่ความจริง ไม่เป็นเช่นนั้น หนังสือเรื่อง ระเด่นลันไดนี้ที่แท้เป็นจดหมายเหตุ เรื่อง ระเด่นลันได เป็นหนังสือแต่งในรัชกาลที่ ๓ เล่ากันมาว่า ครั้งนั้น มีแขกคนหนึ่งชื่อ ลันได ทำนองจะเป็นพวกฮินดู ชาวอินเดีย ซัดเซพเนจร เข้ามาอาศัยอยู่ที่ใกล้โบสถ์พราหมณ์ ในกรุงเทพฯ เที่ยวสีซอขอทานเขาเลี้ยงชีพ พูดภาษาไทยก็มิใคร่ได้ หัดร้องเพลงขอทานได้เพียงว่า "สุวรรณหงส์ถูกหอกอย่าบอกใคร บอกใครก็บอกใคร" ร้องทวนอยู่แต่เท่านี้ แขกลันไดเที่ยวขอทาน จนคนรู้จักกันโดยมากในครั้งนั้น มีแขกอีกคน ๑ เรียกกันว่า แขกประดู่ ทำนองก็จะเป็นชาวอินเดีย เหมือนกัน ตั้งคอกเลียงวัวนม อยู่ที่หัวป้อม (อยู่ราวที่ สนามหน้าศาลสถิตยุติธรรม ทุกวันนี้) มีภรรยา เป็นหญิงแขกมลายู ซื่อประแดะ อยู่มาแขกลันได กับแขกประดู่ เกิดวิวาทกัน ด้วยเรื่องแย่งหญิงมลายูนั้น โดยทำนองที่กล่าวในเรื่องละคร คนทั้งหลาย เห็นเป็นเรื่องขบขัน ก็โจษกันแพร่หลาย พระมหามนตรี (ทรัพย์) ทราบเรื่อง จึงคิดแต่งเป็นบทละครขึ้น
แต่หลายคนคงสงสัยว่า เรื่องนี้ สะท้อนภาพ อะไรของคนไร้บ้าน หรือผู้ใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะ ที่พยายามจะอธิบายก็คือว่า เรื่อง ระเด่นลันได นี้ชี้ให้เห็นว่า คนเร่ร่อน คนไร้บ้าน หรือผู้ใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะ นั้นมีมาตั้งแต่หลายยุคหลายสมัย ไม่ใช่พึ่งมีเหมือนที่หลาย ๆ คนในสังคมเข้าใจ และในนามของจดหมายเหตุนั้นชี้ว่ามันถูกเขียนออกมาจากเรื่องราวจริง ที่ผู้เขียนพยายามที่จะถ่ายทอดออกมา และอยู่ในละแวกเสาชิงช้า คอกวัว เรื่อยมาบริเวณนั้น มานานแสนนาน
“ระเด่นลันไดเที่ยวสีซอขอข้าวกินตามตลาดเสาชิงช้า หน้าโบสถ์พราหมณ์ มีทหารหมาคอยเห่าหอนเฝ้ายามให้ พอโพล้เพล้ใกล้ค่ำก็สุมควันไล่ยุงแล้วนอนสูบกัญชาบนเสื่อลำแพนจนเมาพับ พอตะวันโด่งก็ตื่นขึ้นมาอาบน้ำล้างหน้าทาดินสอพอง สวมกางเกงขาดๆ สวมประคำดีควายสะพายยาม ถือกระบองกันหมาแล้วเที่ยวสีซอไปตามทางเหมือนอย่างเคย” ประโยคที่ถูกแปลตรงนี้ ก็ไม่ต่างจากวิถีชีวิต ของผู้ใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะเลยแม้ แต่น้อยอาบน้ำก็อาบน้ำในคลองกัน ส่วนใหญ่ หรือที่ใคร ๆ คุ้นเคย คือ คลองหลอด แม่น้ำเจ้าพระยา สมัยก่อนนั้นมีการสูบกัญชา แต่สมัยนี้คือการติดเหล้า ใส่เสื้อผ้าขาด ๆ มีถุงหรือกระเป๋ายาม ซึ่งภาพที่สะท้อนออกมานั้นก็ไม่แตกต่างจากยุคนี้ที่ผู้ที่ออกมาใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะเป็นอยู่กัน
“สูงระหงทรงเพรียวเรียวรูด
งามละม้ายคลายอูฐกะหลาป๋า
พิศแต่หัวตลอดเท้าขาวแต่ตา
ทั้งสองแก้มกัลยาดังลูกยอ
คิ้วก่งเหมือนกงเขาดีดฝ้าย
จมูกละม้ายคล้านพร้าขอ
หูกลวงดวงพักตร์หักงอ
ลำคอโตตันสั้นกลม
สองเต้าห้อยตุงดังถุงตะเคีย
โคนเหี่ยวแห้งรวบเหมือนบวบต้ม
เสวยสลายาจุกพระโอษฐ์อม
มันน่าเชยน่าชมนางเทวี ฯ”
ถ้าฟังจากการบรรยายถึงโฉมงามของนางประแดะ ที่นายประดู่ มองว่าสวยจับตาจับใจ ตรงนี้สะท้อนให้เห็นถึงการดำรงชีวิตคู่ ที่คนไร้บ้าน เห็นผู้หญิง หรือคนที่เลือกมาใช้ชีวิตคู่ใน ถนน หรือพื้นที่สาธารณะ ร่วมกันนั้น ก็ไม่แตกต่างจากนางประแดะ ที่สังคมมองว่าสกปรก หน้าตาดูไม่ได้ แต่เขามองว่าสวย ตัวอย่างเช่น ยายนาง ที่ตัวดำ อ้วนกลม ผมยุ้งเหยิง แต่ก็มีสามี ในพื้นที่ที่ตนออกมาใช้ชีวิต หรือเรียกอีกแบบคือ ผู้ชายที่ดูแลเขา ผ่านมาแล้ว 2 คน คนปัจจุบัน เป็นคนที่สาม ซึ่งวิถีชีวิตก็ไม่ได้แตกต่างกัน
เมื่อกล่าวถึงวรรณคดี เรื่องนี้แล้ว ณ ปัจจุบัน ไม่สามารถหาตอนจบได้ (แต่เสียดายอยู่ที่ บทตอนท้ายในเล่มนี้ ยังขาดฉบับเดิมอยู่ สักสามฤาสี่หน้ากระดาษ เนื้อเรื่องที่ขาดเพียงใด) เมื่อเปรียบเทียบกับคนในสนามหลวง หรือผู้ที่ออกมาใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะ นั้น สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรที่เป็นคำตอบในการแก้ปัญหา อย่างตายตัว แต่ละคน ก็แต่ละวิธี แต่ละคนก็มีแนวปัญหา หรือแนวทางที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นในการทำงานที่อิสรชนกำลังทำอยู่นั้น ที่สังคมบางส่วนสงสัยว่าทำไมต้อง ใช้เวลานานถึง 2 ปี บางคนใช้เวลาแค่ 6 เดือน เพราะแต่ละคนมีปมปัญหา หรือปมในใจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะแก้คลิกของปมนั้นได้เร็วกว่ากัน เพราะฉะนั้น การทำงานที่สำคัญที่อิสรชนพยายามบอก ก็คือว่า คนเหล่านี้เขาต้องการแค่เพื่อน ที่พร้อมจะฟัง จะพูดคุย หรือมองเขาด้วยสายตาที่เขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่เหมือนกับเรา ๆ ทั่วไป อิสรชนบอกอาสาสมัครทุกคนว่าเราไม่ได้ลงมาสอนเขาแต่เราลงมาเพื่อเรียนรู้เขา เขาคือครูที่สามารถสอนอะไรเราได้มากมาย
ทำไมบางคนเจอปัญหาร้อยแปดพันเก้า ถูกทำให้สูญหายโดยพี่น้องของตนเองเพียงเพื่อการแย่งมรดกกัน หรือการไม่ยอมรับคนคนนี้เพียงเพราะว่าเขาขี้เมา คนคนนี้ต้องผ่านการล่วงละเมิดทางเพศ ถูกบังคับให้ขายบริการจนตนเองมีอาการทางประสาท ต่าง ๆ นานา ในแต่ละปัญหาของแต่ละคน ทำไมเขายังสู้อยู่ได้ละ แต่ในทางกลับกันทำไมสังคมมองว่าเขาขี้เกียจ คุณพิพากษาว่าเขาขี้เกียจซึ่งในความเป็นจริงคุณได้รู้หรือเปล่าว่าคนคนหนึ่งที่หลุดออกจากโลกของความเป็นจริงนั้นเขาพบเจออะไรมาบ้าง ถ้าเป็นคุณแล้วคุณจะเข้มแข็งและมีชีวิตอยู่ได้อย่างเขาหรือไม่ คุณจะดิ้นรนเช่นไรเมื่อมาอยู่ถนน และไม่มีเงินสักบาท ไม่มีอะไรติดตัวเลยสักสิ่งเดียว มีแค่ตัวเปล่า ๆ คุณจะใช้ชีวิตอย่างไรในถนน เพื่ออยู่ได้มานานถึง 30 ปี ในบางคน สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่สะท้อนว่าเขาไม่ได้ขี้เกียจอย่างที่เราเข้าใจ
หรือแม้แต่ตัวละครของระเด่นลันไดเอง ที่นายประดู่ เป็นชาวอินเดีย พูดไทยไม่ค่อยได้ ร้องได้เพียงประโยคเดียว แต่ก็ขอทานเลี้ยงชีวิตตนเองเพื่ออยู่รอด สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราควรได้เรียนรู้และร่วมกันแก้ปัญหา คุณก็สามารถเข้ามาเรียนรู้ได้ เพียงแค่มีใจอยากจะมาเรียนรู้ โดยไม่มีกรอบเกณฑ์ใด ๆ มาด้วยใจ มาร่วมเป็นอาสาสมัครกับอิสรชนได้ที่ 086-628-2817 หรือ ใครสนใจบริจาคสนับสนุนกิจกรรมได้ที่ ธ.กรุงไทย สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า ชื่อบัญชี สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน เลขบัญชี 031-0-03432-9 ค่ะ

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/



--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

ระเบิดแบงก์กรุงเทพ : ทุนเก่า + อมาตย์ + (เหลือง = ชนชั้นกลางเก่า ?) VS ทุนใหม่ + (แดง = ชนชั้นกลางใหม่ ?)

วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4191  ประชาชาติธุรกิจ


ระเบิดแบงก์กรุงเทพ : ทุนเก่า + อมาตย์ + (เหลือง = ชนชั้นกลางเก่า ?) VS ทุนใหม่ + (แดง = ชนชั้นกลางใหม่ ?)


คอลัมน์ มองซ้ายมองขวา

โดย อภิชาต สถิตนิรามัย apichat@econ.tu.ac.th



ทำไม จึงมีระเบิดหน้าธนาคารกรุงเทพหลายลูกเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำไมไม่เป็นแบงก์อื่น ๆ แน่นอนว่าสิ่งนี้ต้องเชื่อมโยงกับการที่พลเอกเปรมเป็นประธานที่ปรึกษาของ ธนาคารกรุงเทพ และการประท้วงที่ถนนสีลมของกลุ่มคนเสื้อแดง ขอย้ำว่าประโยคนี้ไม่ได้เหมาว่าเสื้อแดงเป็นคนทำ แต่ไม่ว่าฝ่ายใดทำก็เป็นสิ่งที่ต้องประณามอย่างถึงที่สุดด้วยกันทั้งสิ้น ไม่มีเหตุผลใด ๆ พอเพียงสำหรับรองรับการใช้ลูกระเบิดเพื่อผลทางการเมืองทั้งนั้น แต่ประเด็นของผมคือ ธนาคารกรุงเทพนั้นเป็นสัญลักษณ์แทนกลุ่มทุนเก่า (old money) ที่เติบใหญ่ขึ้นภายใต้การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างชนชั้นนำทางการเมือง กับชนชั้นนำทางธุรกิจของการเมืองแบบอมาตยาธิปไตย (คำนี้แปลจากคำว่า Bureaucratic Polity ของ F. Riggs โดยพ่อตาของนายกฯอภิสิทธิ์) ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2500-2540

3 ตัวละครหลักของเศรษฐศาสตร์การเมืองไทยในรอบ 40 ปีนี้ ซึ่งเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า ยุคทุนนิยมนายธนาคาร คือ หนึ่ง ชนชั้นนำทางอำนาจ นำโดยนายทหารในช่วงแรกและนักการเมืองจากการเลือกตั้งในช่วงหลัง ทำหน้าที่ปกครองเพื่อสร้างความสงบและเสถียรภาพทางการเมือง ภายใต้อุดมการณ์ราชาชาตินิยมและระบอบอมาตยาธิไตยเต็มใบ แล้วค่อย ๆ คลี่คลายกลายเป็นระบอบอมาตยาธิปไตยครึ่งใบ และระบอบประชาธิปไตยในช่วงหลัง
สอง กลุ่มเทคโนแครตนำโดย ธปท. ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย-บริหารเศรษฐกิจมหภาคและภาคการเงินการธนาคาร โดยเน้นเป้าหมายเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจเพื่อสร้างบรรยายกาศที่เอื้ออำนวย แก่การสะสมทุนของภาคเอกชน สาม ชนชั้นนำทางธุรกิจนำโดยธนาคารกรุงเทพ ทำหน้าที่จัดสรรทุนและประสานการลงทุนในหมู่นักธุรกิจ ระบบนี้ก็ค่อย ๆ เสื่อมสลายจนสิ้นสุดลงในปี 2540

พันธมิตรสามเส้านี้ แม้ว่าจะร่วมมือกันขับเคลื่อนการสะสมทุนของระบบเศรษฐกิจในภาพรวมก็ตาม แต่ความสัมพันธ์กลับเต็มไปด้วยความขัดแย้งภายในระหว่างเทคโนแครตฝ่ายหนึ่ง กับแนวร่วมของผู้กุมอำนาจการเมืองกับนายแบงก์อีกฝ่ายหนึ่ง นายธนาคารมักยืมมือของผู้มีอำนาจมาวีโต้นโยบายของเทคโนแครตตลอดมา ในแง่นี้การที่กลุ่มทุนใช้อำนาจทางการเมืองผลักดันกฎหมายให้เอื้อประโยชน์ แก่ธุรกิจตนจึงมิใช่เรื่องใหม่ กลุ่มธุรกิจของทักษิณไม่ใช่กลุ่มแรกที่ทำเช่นนี้ สิ่งที่แตกต่างคือ นายธนาคารใหญ่ ๆ ไม่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีเอง กรณีตัวอย่าง 3 เรื่องข้างล่างนี้ก็คงมากเกินพอที่จะชี้ถึงการใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อ เอื้อประโยชน์ทางธุรกิจให้นายธนาคาร
หนึ่ง ธนาคารกรุงเทพจัดตั้งใน พ.ศ. 2487 และประสบกับวิกฤตในปี 2495 ดังนั้นจึงต้องปรับองค์กรขนานใหญ่ ซึ่งทำให้นายชิน โสภณพนิช กลายเป็นผู้จัดการใหญ่ นายชินมีสายสัมพันธ์อย่างดีกับสมาชิกคนสำคัญ ๆ ของกลุ่มซอยราชครู เช่น พลตรีศิริ สิริโยธิน ซึ่งขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐการ และพลตรีประมาณ อดิเรกสาร ซึ่งเป็นลูกเขยอีกคนหนึ่งของจอมพลผิน สายสัมพันธ์ของนายชินนี้ก่อประโยชน์ให้แก่ธนาคารกรุงเทพเป็นอย่างมาก กล่าวคือธนาคารกรุงเทพเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 20 เป็น 50 ล้านบาท โดยเงินทุนใหม่จำนวน 30 ล้านนี้เป็นของกระทรวงเศรษฐการ ซึ่งคิดเป็น 60% ของหุ้นทั้งหมดของธนาคาร การเข้าถือหุ้นของกระทรวงผ่านการวิ่งเต้นของนายชินนี้เองที่ทำให้พลตรีศิริ ได้ตำแหน่งประธานกรรมการ ในขณะที่พลตรีประมาณกลายเป็นกรรมการบริหารของธนาคารในปี 2496 เหตุการณ์นี้เป็นผลประโยชน์ร่วมระหว่างกลุ่มผิน-เผ่ากับธนาคารกรุงเทพ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นกลุ่มของจอมพลสฤษดิ์มีธนาคารแหลมทองอยู่ในเครือข่าย ดังนั้นกลุ่มผิน-เผ่าจึงต้องการธนาคารกรุงเทพมาเป็นพวก ส่วนธนาคารกรุงเทพนั้นก็ได้รับอภิสิทธิ์ในฐานะที่เป็นธนาคารร่วมทุนของรัฐ จึงได้ทำธุรกิจด้านการเงินกับภาครัฐ รวมถึงกิจการส่งออกข้าวที่ในขณะนั้นถูกควบคุมโดยรัฐด้วย ผลก็คือส่วนแบ่งการตลาดของธนาคารได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ 2 ปีต่อมาเมื่อธนาคารมีกำไรแล้วคณะรัฐมนตรีก็มีมติอนุมัติให้กระทรวงเศรษฐการ ขายหุ้นคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นกลุ่มเดิมในราคา 15 ล้านบาท หนังสือพิมพ์สารเสรีในสายของจอมพลสฤษดิ์จึงกล่าวโจมตีว่ากลุ่มผิน-เผ่าปล้น เงินของรัฐ ดังนั้นภายหลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2500 นายชินจึงต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ที่ฮ่องกง ระหว่างนั้น พล.ต.ประภาส จารุเสถียร ทหารคนสำคัญของกลุ่มสฤษดิ์ก็มีบทบาทในการหนุนช่วยธนาคารกรุงเทพต่อมา โดยเป็นทั้งประธานธนาคาร (2500-2516) และผู้ถือหุ้นคนสำคัญ

สอง ในปี 2500 เมื่อเทคโนแครตต้องการร่างกฎหมายการธนาคารฉบับใหม่ขึ้นเพื่อควบคุมให้ระบบ ธนาคารมีความมั่นคงมากขึ้น ซึ่งต่อมาจะกลายเป็น พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 และประกาศใช้ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2505 การที่กฎหมายฉบับนี้ใช้เวลาร่างถึง 5 ปีนั้นเป็นเพราะเทคโนแครตต้องเผชิญกับการต่อรองที่หนักหน่วงจากเหล่านาย ธนาคารจนถึงขั้นที่ร่างนี้ถูก "ทำแท้ง" โดยการถอนร่างออกจากการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันที่ 8 เมษายน 2502 นายโชติ คุณเกษม รัฐมนตรีคลัง ระบุอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาถอนร่างตามคำแนะนำของสมาคมนายธนาคารไทย และนายบุญชู โรจนเสถียร ซึ่งเป็นมือขวาของธนาคารให้สัมภาษณ์กับผมเมื่อปี 2541 ว่า "เรารู้ว่าคุณโชติเป็นคนสำคัญในการตัดสินใจ เนื่องจากแกเป็นคนใกล้ชิดกับจอมพลสฤษดิ์ ดังนั้นเราจึงเข้าหาแก...วัตถุประสงค์ของเราก็คือต้องการให้กฎหมายและข้อบังคับใหม่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโตของเรา" ประเด็นหลักที่เป็นข้อขัดแย้ง คือ มาตรา 13 ของ พ.ร.บ. 2505 เรื่องการปล่อยกู้ให้ลูกค้ารายใหญ่ที่เทคโนแครตไม่ต้องการให้ธนาคารปล่อยกู้ แบบกระจุกตัวแก่ลูกค้ารายหนึ่ง ๆ มากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเชื่อที่ผู้บริหาร/เจ้าของธนาคารมีส่วนเกี่ยวข้อง (insider lending) ซึ่งทำกันมากในสมัยนั้น

สาม ในยุครัฐบาลพลเอกเปรมเมื่อถึงปี 2522 เริ่มมีปัญหาบริษัทเงินทุนล้มขึ้น เทคโนแครตจึงต้องการออกกฎหมายสถาบันประกันเงินฝากขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อ มั่นให้แก่ผู้ฝากเงิน แต่ก็ถูก "ทำแท้ง" อีกครั้งโดยนายธนาคารผ่านการชี้แนะให้นายสมหมาย ฮุนตระกูล ถอนร่างกฎหมายนี้ออกจากการพิจารณาของรัฐสภาในปี 2524 ประเด็นสำคัญที่สุดในการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.สถาบันประกันเงินฝาก คือ อำนาจของสถาบันประกันเงินฝากที่จะสั่งปลดผู้บริหารที่ทุจริต ถ่ายโอนธุรกิจหรือควบรวมกิจการของสถาบันการเงินที่ล้มเหลว ดังนั้นกว่าที่กฎหมายแบบนี้จะเกิดขึ้นจริงก็เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เอง

นอกจากนี้แล้ว พลเอกเปรมยังมีบุญคุณโดยตรงกับธนาคารกรุงเทพอีกด้วย ประมาณปี 2527 เมื่อธนาคารเอเชียทรัสต์ล้มลงจนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดข่าวลือว่า ธนาคารกรุงเทพสาขาฮ่องกงขาดทุนหนักมาก ทำให้ผู้ฝากแห่กันไปถอนเงินออกจากธนาคาร เมื่อนายกฯเปรมออกมายืนยันกับสาธารณชนว่า ฐานะทางการเงินของแบงก์กรุงเทพยังมั่นคงอยู่ ประชาชนจึงหยุดตื่นตระหนก ผมเข้าใจเอาเองว่าหลังจากนั้นตระกูลโสภณพนิช จึงสำนึกในบุญคุณของพลเอกเปรมมาตลอด ทำให้ไม่แปลกใจว่านายใหญ่ของธนาคารเป็นหนึ่งในสมาชิกของคณะ 11 ด้วย

จาก 3 กรณีข้างต้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า การเติบโตของทุนธนาคารจึงเกิดขึ้นภายใต้การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์และการ อุปถัมภ์ของเหล่าอมาตย์มาตลอด จนกระทั่งตกเวทีทางประวัติศาสตร์ไปเมื่อวิกฤตการเงินปี 2540 ทำให้ทุนธนาคารสูญเสียฐานะครอบงำเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นการเปิดทางให้ทุนรุ่นใหม่ (new money) ในภาคเศรษฐกิจจริง (real sector) เช่น กลุ่มธุรกิจของทักษิณและพวกพ้องก้าวขึ้นมามีฐานะครอบงำแทนในสังคมการเมืองไทย ในแง่นี้ความขัดแย้งทางการเมืองปัจจุบันจึงเป็นความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นนำ ระหว่างเครือข่ายทุนเก่า + อมาตย์ กับทุนใหม่ แต่สิ่งที่ปัจจุบันไม่เหมือนกับความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นนำครั้งก่อน ๆ คือ การเติบโตขึ้นของพลังทางสังคมกลุ่มใหม่ ๆ (เหลือง = ชนชั้นกลางเก่า ? VS แดง = ชนชั้นกลางใหม่ ?) ซึ่งไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชนชั้นนำ กลุ่มใหม่ ๆ เหล่านี้ไม่ยอมอยู่เฉย ๆ เหมือนเช่นอดีตอีกต่อไป แต่กลับออกมา "เลือกข้าง" ทั้งในทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธี โดยหวังว่าฝ่ายที่ตนเลือกจะเป็นล้อเลื่อนสู่ทั้งผลประโยชน์ทางชนชั้นและจินตนาการทางการเมืองของกลุ่มตน

ผมไม่รู้ว่าความคิดคำนึงข้างต้นสอด คล้องกับ "ความเป็นจริง" ทางสังคมในปัจจุบันแค่ไหน แต่ผมแน่ใจว่ากลุ่มระเบิดข้างต้นจะไม่ใช่ระเบิดชุดสุดท้าย


หน้า 34
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02edi05110353&sectionid=0212&day=2010-03-11

--
Web link
http://www.edtguide.com/SuanplooThaiMassage_486629
http://www.victam.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://www.niwatkongpien.com
http://sundara21.blogspot.com
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com/v1/
http://cloudbookclub.blogspot.com
http://blogok09.blogspot.com
http://thairaptorgroup.com/TRG/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=2049
http://www.ias.chula.ac.th/Thai/modules.php?name=NuCalendar

"สุรเธียร"รุกพลังงานทางเลือก ขายแฟรนไชส์โนว์ฮาวไบโอดีเซล

วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4191  ประชาชาติธุรกิจ


"สุรเธียร"รุกพลังงานทางเลือก ขายแฟรนไชส์โนว์ฮาวไบโอดีเซล




"สุรเธียร จักรธรานนท์" พลิกบทบาทจากมืออาชีพด้านอสังหาริมทรัพย์ สู่มือโปรด้านธุรกิจพลังงานทางเลือก ผุดโมเดลโรงงานไบโอดีเซลขนาดกลาง พร้อมขายโนว์ฮาวในแบบแฟรนไชส์ ลงทุน 40-50 ล้าน 3 ปีคืนทุน ชูจุดเด่นเทคโนโลยีที่พัฒนาโดยคนไทย ใช้ได้กับเครื่องจักรในโรงงานและรถยนต์ มั่นใจเป็นธุรกิจอินเทรนด์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เผยมี อบต. ไทยและนักธุรกิจลาวสนใจขอซื้อ



นายสุรเธียร จักรธรานนท์ ประธานกรรมการ บริษัท อี-เอสเทอร์ (กรุงเทพ) จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หลังจากใช้เวลา 4-5 ปี คลุกคลีอยู่กับพลังงานทางเลือก และได้ลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตน้ำมันไบโอดีเซลรวม 2 แห่ง คือเชียงราย และแห่งที่ 2 ที่สามพราน นครปฐม ทำให้เข้าใจในธุรกิจนี้ลึกซึ้งขึ้น ส่วนเทคโนโลยีการผลิตพัฒนาดีขึ้นกว่าโรงงานแรก ช่วยลดต้นทุนทั้งการผลิต เครื่องจักร ระบบการบริหารจัดการ และการจัดหาวัตถุดิบ จนถึงขั้นที่ว่าถ้ามีหน่วยงานหรือองค์กรใดสนใจก้าวสู่ธุรกิจนี้ ตนก็พร้อมจะขายโนว์ฮาวในลักษณะขายแฟรนไชส์

โมเดลธุรกิจผลิตน้ำมันไบ โอดีเซลที่ทำอยู่จัดเป็นธุรกิจขนาดกลาง ใช้เงินลงทุน 40-50 ล้านบาท เป็นโมเดลที่สามารถทำเงินได้ใน 8 ปี แต่บริหารจัดการให้คืนทุนใน 3 ปี สำหรับกำลังการผลิตประมาณ 80,000 ลิตร/วัน ปัจจุบันโรงงานของบริษัทน่าจะเป็นแห่งแรก ๆ ที่มีศักยภาพการผลิตตามมาตรฐานของกระทรวงพลังงานสำหรับโรงงานขนาดกลาง จากก่อนหน้านี้จะมีแต่ ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่เท่านั้น

นายสุรเธียร อธิบายว่า ตามคอนเซ็ปต์ของโรงงานที่วางไว้จะครอบคลุมพื้นที่ 3-4 จังหวัด ในด้านการรับซื้อวัตถุดิบและการตลาด เนื่องจากระบบการผลิตเป็นแบบ Dry Process จึงไม่จำเป็นต้องทำ EIA และ HIA ส่วน SIA ได้ใช้วิธีพา อบต. และตัวแทน ชาวบ้านไปดูงานที่เชียงราย และโรงงานที่นครปฐม จากนั้นจะประกาศหาตัวแทนจัดหาวัตถุดิบ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีชาวบ้านทำธุรกิจรับซื้อน้ำมันใช้แล้วจากครัวเรือนอยู่ก่อน ซึ่งตอนนี้มี 30-40 ราย ที่เป็นตัวแทนในการจัดซื้อวัตถุดิบ ส่วนการขายจะใช้วิธีขายตรง ซึ่งตอนนี้มีทั้งผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้ประกอบการขนส่ง และโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยใช้กลยุทธ์ตั้งราคาต่ำกว่าน้ำมันไบโอดีเซลทั่วไป 1 บาท

"เราไม่ ได้ตั้งปั๊มเพื่อขายรีเทล แต่เราขายตรงเข้าโรงงานซึ่งส่วนใหญ่จะซื้อเป็นลอตใหญ่ 4-5 พันลิตร บางรายมีรถมารับในโรงงาน บางรายเราก็มีรถขนส่งให้ ซึ่งปัจจุบันตลาดเริ่มเป็นที่ยอมรับ มีผู้ใช้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากราคาน้ำมันที่ถูกกว่าทั่วไป และคุณภาพน้ำมันที่สามารถใช้งานได้จริง และไม่เป็นปัญหากับเครื่องยนต์"

อดีตผู้บริหารธุรกิจอสังหาริม ทรัพย์ยักษ์ใหญ่ (เอสซี แอสเสท) กล่าวว่า ตอนนี้บทบาทของตนได้หลุดจากมืออาชีพด้านอสังหาริมทรัพย์ มาสู่บทบาทของนักอุตสาหกรรมด้านพลังงานทางเลือกเต็มตัว หลังจากใช้เวลาคลุกคลีศึกษา 4-5 ปี และเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วได้เข้าสู่อุตสาหกรรมเต็มรูปแบบ โดยการลงทุนก่อสร้างโรงงานเพื่อผลิตน้ำมันไบโอดีเซลเพื่อดำเนินธุรกิจในเชิง พาณิชย์

นายสุรเธียรกล่าวว่า คอนเซ็ปต์ที่คิดไว้คือต้องการให้คนไทยเป็นเจ้าของเทคโนโลยี จึงเริ่มต้นจากงานวิจัย จากนั้นก็พัฒนาปรับปรุงมาเรื่อย ๆ ซึ่งยอมรับว่าไม่ง่าย ด้วยระบบในการผลิตที่ใช้คือ ระบบ Dry Process น้ำมันพืชที่ซื้อจากครัวเรือนจะผ่านขบวนการผลิตออกมาเป็นเนื้อน้ำมันเพื่อ ใช้งานทั้งหมด โดยไม่มีของเสียที่เหลือทิ้งให้เป็นปัญหากับสิ่งแวดล้อม

"หลังจากที่คลุกอยู่กับโรงงานผลิตไบโอดีเซล บทบาทบนเวทีสัมมนาของผมเปลี่ยนไป จากที่เคยได้รับเชิญไปพูดหัวข้อเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เวลานี้หัวข้อที่เชิญผมไปพูด ส่วนใหญ่จะเป็นหัวข้อเกี่ยวกับพลังงานทดแทน รวมถึงการมีบทบาทเป็นคณะกรรมการ สวทช. เกี่ยวกับโครงการวิจัยด้านพลังงานทดแทนต่าง ๆ เปิดโรงงานที่ จ.เชียงราย เป็นสถานที่ดูงานให้กับหลาย ๆ องค์กรที่สนใจ ทำให้เวลานี้โรงงานผลิตน้ำมันไบโอดีเซลที่ได้สร้างขึ้นนั้น ได้รับความสนใจทั้งจากองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หลาย ๆ แห่ง รวมถึงเอกชนประเทศลาวที่สนใจซื้อโนว์ฮาว" นายสุรเธียรกล่าว


หน้า 1
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02p0103110353&sectionid=0201&day=2010-03-11

--
Web link
http://www.edtguide.com/SuanplooThaiMassage_486629
http://www.victam.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://www.niwatkongpien.com
http://sundara21.blogspot.com
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com/v1/
http://cloudbookclub.blogspot.com
http://blogok09.blogspot.com
http://thairaptorgroup.com/TRG/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=2049
http://www.ias.chula.ac.th/Thai/modules.php?name=NuCalendar

ตะลึง! ก.พลังงานดันนิวเคลียร์ 5 โรง ชงกพช.อนุมัติแผนPDPใหม่กำลังผลิต 54,000 MW

วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4191  ประชาชาติธุรกิจ


ตะลึง! ก.พลังงานดันนิวเคลียร์ 5 โรง ชงกพช.อนุมัติแผนPDPใหม่กำลังผลิต 54,000 MW





ก.พลังงาน เคาะแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ฉบับ 2553 ผุดกำลังผลิตใหม่ 54,625 แผน 20 ปี (53-73) ดันโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 5 โรง รวม 5,000 เมกะวัตต์ ใส่พานให้ กฟผ. ถ่านหินอัดเต็มที่ 13 โรง แต่ยังไม่รู้ใครสร้าง ระบุต้นทุน ต่ำที่สุด เตรียมเสนอ กพช.อนุมัติแผน PDP



ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานภายหลังการสัมมนารับฟังความคิดเห็นร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ ประเทศ พ.ศ. 2553-2573 หรือ PDP 2010 (Power Development Plan) ว่า ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ฉบับใหม่ 2553 จะพิจารณาบนพื้นฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่ร้อยละ 4-4.3 (จากเดิมที่ประเมินไว้ร้อยละ 5-5.5) หรือเรียกว่ากรณีฐาน จะมีสัดส่วนโรงไฟฟ้าใหม่รวมกำลังผลิตติดตั้ง 54,625 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้า 6 ประเภท ได้แก่ 1) โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จำนวน 5 โรง กำลังผลิตรวม 5,000 เมกะวัตต์ 2) โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม จำนวน 20 โรง กำลังผลิตติดตั้ง 15,870 เมกะวัตต์

3) โรงไฟฟ้าถ่านหิน จำนวน 13 โรง กำลังผลิตติดตั้ง 10,000 เมกะวัตต์ 4) เป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก หรือ SPP ประเภท Co-Generation กำลังผลิตติดตั้ง 6,844 เมกะวัตต์ 5) โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก (VSPP) ที่เป็นของเอกชนและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รวม 5,242 เมกะวัตต์ และ 6) รับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศกำลังผลิต 11,669 เมกะวัตต์

เมื่อ เปรียบเทียบกำลังผลิตไฟฟ้าระหว่างแผน PDP 2550 และแผน PDP 2553 จะพบว่ามีกำลังผลิตไฟฟ้าในช่วงสิ้นปี 2564 ลดลงถึง 4,175 เมกะวัตต์ หรือมีกำลังผลิตติดตั้งรวมอยู่ 47,618 เมกะวัตต์ จากเดิมที่แผน PDP 2550 ที่มีกำลังผลิตติดตั้งรวมสูงถึง 51,792 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ สำหรับปริมาณสำรองไฟฟ้า (Reserve Margin) ในช่วงต้นแผน PDP นี้ยังมีปริมาณที่ค่อนข้างสูงเฉลี่ยอยู่ที่ระดับร้อยละ 20-25 จนกระทั่งเมื่อถึงช่วงท้ายของแผน PDP 2553 จึงจะมีปริมาณสำรองไฟฟ้าอยู่ที่ร้อยละ 15 ทั้งนี้ สำหรับแผน PDP 2553 จะมีการลงทุนทั้งในระบบผลิตไฟฟ้าและระบบสายส่งอยู่ที่ 4.298 ล้านล้านบาท

นอกจากนี้ ยังระบุถึงความจำเป็นที่ต้องเพิ่มโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และถ่านหินเข้ามาเพิ่ม ขึ้น เพราะมีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยที่ต่ำที่สุด โดยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ กำลังผลิต 1,000 เมกะวัตต์ จะมีต้นทุนอยู่ที่ 2.79 บาท/หน่วย ในขณะที่โรงไฟฟ้าถ่านหิน กำลังผลิต 800 เมกะวัตต์ มีต้นทุนอยู่ที่ 2.94 บาท/หน่วย ในขณะที่โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Gas Existing) กำลังผลิต 800 เมกะวัตต์ มีต้นทุนอยู่ที่ 3.96 บาท/หน่วย โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Marginal Gas) กำลังผลิต 800 เมกะวัตต์ มีต้นทุนอยู่ที่ 4.34 บาท/หน่วย

ด้าน นายณอคุณ สิทธิพงษ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ของประเทศ จะนำเข้าในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ภายในสัปดาห์นี้ โดยแผนดังกล่าวได้เพิ่มกำลังผลิตที่ มาจากพลังงานทดแทนมากขึ้น ตามที่มีการเสนอมา ในการเปิดรับฟังความคิดเห็นครั้งแรกเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาตามแผน พบว่าสัดส่วนที่เป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และโรงไฟฟ้าถ่านหินจะมากขึ้นจากแผน เดิม สำหรับ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์นี้ กฟผ.จะเป็นผู้รับผิดชอบในการก่อสร้างทั้งหมด ส่วนโรงไฟฟ้าถ่านหินขณะนี้เปิดกว้างเอาไว้ ยังไม่ได้สรุปว่าจะมีการเปิดประมูลโรงไฟฟ้า หรือให้ กฟผ.เป็นผู้รับผิดชอบในสัดส่วนอย่างไร

การรับซื้อไฟฟ้าที่มาจาก พลังงานทดแทนที่เพิ่มขึ้นนั้น ต้องยอมรับว่ากระทบต่อค่าไฟฟ้าของประชาชนบ้าง แต่ไม่มาก ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ ส่วนโรงไฟฟ้าถ่านหิน เทคโนโลยีที่นำมาใช้ จะเน้นที่รองรับเฉพาะถ่านหินสะอาด ซึ่งคาดว่าจะนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด


หน้า 5
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02inv01110353&sectionid=0203&day=2010-03-11

--
Web link
http://www.edtguide.com/SuanplooThaiMassage_486629
http://www.victam.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://www.niwatkongpien.com
http://sundara21.blogspot.com
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com/v1/
http://cloudbookclub.blogspot.com
http://blogok09.blogspot.com
http://thairaptorgroup.com/TRG/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=2049
http://www.ias.chula.ac.th/Thai/modules.php?name=NuCalendar

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

โครงการสวนสนุกขนาดใหญ่ โรงแรม 6 ดาว ชื่อ Siam Park เกิดขึ้นที่สเปน แต่คนไทยแทบไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย

โครงการสวนสนุกขนาดใหญ่ โรงแรม 6 ดาว ชื่อ Siam Park เกิดขึ้นที่สเปน แต่คนไทยแทบไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย



Siam Park, Parque acuático, Costa Adeje, Tenerife


--
โปรดอ่าน blog
www.pridiinstitute.com
www.nakkhaothai.com
www.pcpthai.org
http://wdpress.blog.co.uk
http://rsm2009-rsm2009.blogspot.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
www.youtube.com/user/naiissarachon#p/a/u/0/34ZvscsnCbA

ราชพาหนะคันล่าสุด มายบัค 62 (MAYBACH 62) ราคาเบื้องต้นกว่า 100 ล้านบาท

โพสต์ตามคำเรียกร้อง:

คนไทยทั่วประเทศมีความสุขที่ได้ร่วมแสดงความจงรักภักดีต่อองค์พระบาทสมเด็
จพระเจ้าอยู่หัว และปลาบปลื้มกับพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติอย่างยิ่งใหญ่ในกรุงเทพมหานคร
ตั้งแต่วันที่ 8-13 มิถุนายน 2549 นี้ ในขณะเดียวกัน ก็ได้พบเห็นข้าราชบริพารใกล้ชิด ที่ถวายงานให้กับองค์พระประมุขสูงสุดของชาติ ในพระราชพิธีสำคัญหลายต่อหลายครั้ง นั่นคือ ราชพาหนะคันล่าสุด มายบัค 62 (MAYBACH 62)


มายบัค เป็นรถระดับอัครอลังการแห่งความหรูหรา ที่ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของเยอรมันอย่างเดมเลอร์ไครสเลอร์ บรรจงสร้างสรรค์ขึ้นมาจากตำนานในอดีตของตัวเองมาเสกสรรปั้นแต่งใหม่อีกครั้งให้กลับมาสู่ความยิ่งใหญ่และเหนือชั้นกว่า โรลสรอยซ์ ค่ายรถหรูสัญชาติอังกฤษ โดยมายบัค ผลิตออกมาคำสั่งซื้อเท่านั้น ซึ่งเดมเลอร์ไครสเลอร์(ประเทศไทย)เคยนำมายบัคมาโชว์ตัวที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ เมื่อกลางปี 2548 ที่ผ่านมาแล้ว โดยกำหนดราคาเบื้องต้นกว่า 100 ล้านบาท มายบัคมีให้เลือกได้สองแบบ รุ่นท็อปสุด มายบัค 62 ที่มีความยาว 6.17 เมตร โอ่อ่ากว้างขวางสุดหรูหรา ตามด้วยรุ่น มายบัค 57 ที่มีความยาว 5.73 เมตร


คุณค่าและความยิ่งใหญ่ของมายบัคอยู่ที่ความเลิศหรู อลังการและความหรูหราของห้องโดยสารที่กว้างขวาง สง่างาม เและนุ่มสบายตลอดการเดินทางของบุคคลระดับที่มีความสำคัญสูงสุด หรูหรา อลังการ ตั้งแต่ด้านหน้าสุดจนถึงเอนพนักเก้าอี้ลงจนสุดด้านหลัง ในรุ่นมายบัค 57 ให้ความยาวของห้องโดยสาร 2245 มิลลิเมตรและรุ่นมายบัค 62 ให้ความยาวระดับคฤหาสน์คลื่อนที่ 2682 มิลลิเมตร เก้าอี้ผู้โดยสาร หลังมีพื้นเหยียดเท้าถึง 1570 มิลลิเมตร ห้องสัมภาระท้ายรถ สามารถบรรจุกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 5 ใบในรุ่น มายบัค 62 สามารถปรับเอนเก้าอี้ได้สบายอย่างเหนือชั้น เช่นเดียวกับที่นั่งชั้นหนึ่งของเครื่องบินโดยสารยุคปัจจุบัน ผู้โดยสารเพียงแต่ใช้ปุ่มปรับเก้าอี้แบบสัมผัส จากนั้นเก้าอี้จะเลื่อนอย่างช้าๆ ไปยังตำแหน่งที่ได้ปรับตั้งและเก็บไว้ในหน่วยความจำ โดยเลื่อนปรับได้สูงสุดถึง 47 องศา ในขณะเดียวกัน แผงรองขาและที่วางเท้าจะยื่นออกจากใต้เก้าอี้ออกไปข้างหน้าเพื่อรองรับ จากนั้นผู้โดยสารจะสามารถนั่งเอนได้ด้วยความสะดวกสบายที่สุด


ด้วยความสุขสบายสุดยอดนี้ เก้าอี้ของ มายบัค 62 ยังได้รับการพัฒนาให้มีความปลอดภัยสูงสุดในทุกตำแหน่ง ระบบยึดรั้งของลูกรอกสายเข็มขัด ชุดจำกัดแรงรัดเข็มขัดและถุงลมด้านข้างได้รวมไว้กับพนักพิงหลัง มั่นใจได้ว่าผู้โดยสารตอนหลังจะได้รับการปกป้องจากภยันตรายเมื่อปรับเอนเก้า
อี้นั่ง


มายบัค 62 ยังสามารถดัดแปลงให้เป็นสำนักงานเคลื่อนที่ได้ด้วย ด้วยเหตุนี้วิศวกรรมใน Sindelfingen ได้พัฒนาโต๊ะพับทำด้วยอลูมินั่มสำหรับเก้าอี้หลังแต่ละคู่ พื้นโต๊ะแต่ละตัวแยกออกเป็นสองส่วน ขอบโต๊ะตกแต่งด้วยไม้ประดับคุณภาพสูง โต๊ะพับ ( เป็นอุปกรณ์มาตรฐานของ Maybach 62 ) มีช่องเก็บที่คอนโซลหลังแต่ละด้านเพื่อประหยัดเนื้อที่และสามารถดึงออกมาด
้วยห่วงหนังเพียงใช้แรงเล็กน้อยเท่านั้น


นอกจากนี้ ที่ช่องเก็บตัวกลางของด้านหลังเป็นจุดรวมแหล่งบันเทิงที่วิศวกร ได้ออกแบบไว้สำหรับผู้โดยสารใช้เพื่อความบันเทิงขณะเดินทาง อันประกอบด้วยเครื่องเล่น DVD ชุด CD 6 แผ่น โทรศัพท์สองชุด ช่องแช่เย็นทำงานด้วยคอมเพรสเซอร์ของตัวเอง ชุดวางขวดแชมเปญและแก้วแชมเปญที่อยู่ในตำแหน่งอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ แผงหน้าปัดโค้งบนเพดานเพื่อให้ผู้โดยสารตอนหลังทราบข้อมูลความเร็วรถขณะนั่ง



ไฮไลต์ของมายบัค 62 ที่สร้างความหรูหราอลังการ คือ หลังคาแบบพาราโนรามิคที่สามารถปรับความโปร่งแสงด้วยไฟฟ้า โดยปรับระดับความสว่างที่ส่องเข้าห้องโดยสารนี้จะอาศัยการควบคุมผลึกเหลวให้เรียงตัว การควบคุมแสงสว่างนี้มีติดตั้งใน มายบัค เป็นรุ่นแรกของโลกยานยนต์


ขุมพลังของมายบัค 62 เป็นสุดยอดแห่งเครื่องยนต์ คือ เครื่องยนต์ 12 สูบ เทอร์โบคู่ ขนาด 5.5 ลิตร ขับพลังงาน 405 กิโลวัตต์ / 550 แรงม้าด้วยแรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร ทำให้เครื่องยนต์ \\\" Type 12 \\\" เป็นขุมพลังงานทรงพลังด้วยแรงม้าและแรงบิดไร้เทียมทาน

ข้อมูลทางเทคนิค Maybach 62
เครื่องยนต์ 12 สูบ วางเป็นรูปตัว V 3 วาล์วต่อสูบ
ปริมาตรกระบอกสูบ 5513 ซีซี.
ความกว้าง x ช่วงชัก 82.0 x 87.0 มม.
กำลังสูงสุด 550 แรงม้าที่ 5250 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร ที่ 2300-3000 รอบ/นาที
อัตราส่วนกำลังอัด 9.0 : 1
ระบบถ่ายทอดกำลัง เกียร์ อัตโนมัติ 5-สปีด
ราคา ไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท

มายบัคได้กลับมาสร้างรถยนต์หรูหราอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้การดูแลของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยได้เริ่มออกมา 2 รุ่นได้แก่ มายบัค 57 และ มายบัค 62 มีลักษณะเหมือนกันแตกต่างกันตรงความยาวของตัวถังรถ รถมายบัคถือว่าเป็นรถในระดับหรูหรา ซึ่งราคาใกล้เคียงกับรถบริษัทอื่นเช่น เบนลีย์ หรือ โรลส์-รอยศ์ ในปี พ.ศ. 2548 มายบัคได้ออกรถยนต์รุ่น 57S มีลักษณะเป็นรถสปอร์ต โดยมีเครื่องยนต์ 6 ลิตร V12 เทอร์โบคู่ ผลิตแรงม้าได้สูงถึง 604 แรงม้า และ ทอร์กได้สูงถึง 737 ปอนด์/ฟุต

รถยนต์พระที่นั่ง

1. มายบัค 62 เลขทะเบียน ร.ย.ล.1 รถยนต์พระที่นั่งทรงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน
2. มายบัค 62 เลขทะเบียน 1ด-1992 รถยนต์พระที่นั่งสำรองในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน
3. มายบัค 62 เลขทะเบียน 1ด-1991 รถยนต์พระที่นั่งในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน

รายการราชพาหนะ ไม่รวมรถตามเสด็จ

รถยนต์พระที่นั่งในพิธีการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
1. มายบัค 62 เลขทะเบียน ร.ย.ล.1 ทรงใช้เป็นรถยนต์พระที่นั่งทรงในปัจจุบัน
2. มายบัค 62 เลขทะเบียน 1ด-1992 ทรงใช้เป็นรถยนต์พระที่นั่งสำรองในปัจจุบัน
3. เมอร์ซิเดส เบนซ์ เอส 600 แอล เลขทะเบียน ร.ย.ล.901 ทรงใช้ในราชการประจำพระองค์ในปัจจุบัน
4. คาดิลแลค ดีทีเอส เลขทะเบียน ร.ย.ล.960 ทรงใช้ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ โดยรถพระที่นั่งองค์นี้ เป็นรถที่ได้รับการดัดแปลง โดยนำมาตัดหลังคา ให้เป็นรถเปิดประทุน

รถยนต์พระที่นั่งในพิธีการ - แปรพระราชฐานต่างจังหวัด และรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์
ทรงเก็บไว้ที่ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต

5. มายบัค 62 สีน้ำเงิน-ทอง เลขทะเบียน 1ด-1991
6. บีเอ็มดับเบิลยู 760Li สีครีม เลขทะเบียน 1ด-1993
7. โตโยต้า คัมรี่ 2.4V Navigator สีครีม
8. ฮอนด้า แอคคอร์ด 2.4 i-Vtec EL สีดำ
9. นิสสัน เทียน่า 200JK สีครีม
10. มิตซูบิชิ แลนเซอร์ ซีเดีย 1.8 SEi สีบรอนซ์ฟ้า เลขทะเบียน 1ด-4477

ทรงเก็บไว้ที่ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน

11. โตโยต้า วีออส 1.5G Limited สีดำ
12. โตโยต้า ยาริส 1.5G Limited สีแดง
13. เล็กซัส LS460L สีครีม
14. โตโยต้า อินโนว่า 2.0 สีทอง
15. โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ เอ็กเซ็กคลูทีฟ สีขาวมุก

ทรงเก็บไว้ที่ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ เชียงใหม่

16. เล็กซัส LS460L สีครีม
17. โตโยต้า อินโนว่า 2.0 สีทอง
18. โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ เอ็กเซ็กคลูทีฟ สีขาวมุก

ทรงเก็บไว้ที่ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ นราธิวาส

19. เมอร์ซิเดส-เบนซ์ S600 LWB W220 เลขทะเบียน ร.ย.ล.100
20. เมอร์ซิเดส-เบนซ์ S600 LWB W220 เลขทะเบียน ร.ย.ล.100
21. โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ เอ็กเซ็กคลูทีฟ สีขาวมุก

ทรงเก็บไว้ที่ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ สกลนคร

22. เล็กซัส LS460L สีครีม
23. โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ เอ็กเซ็กคลูทีฟ สีขาวมุก

รถยนต์ซึงจัดซื้อด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ซึ่งได้พระราชทานให้หน่วยงานหรือข้าราชบริพารใช้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน ทรงมีรถยนต์มากมายเกินกว่าที่จะนับได้ รถส่วนหนึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ข้าราชบริพารใช้ จะมีทะเบียนเป็น ดส-xxxx โดยรถจำพวกนี้ที่ประชาชนเห็นบ่อยๆ มีดังนี้

24. ฟอร์ด โฟกัส GHIA 1.8L 4Dr. พระราชทานให้เป็นรถทดลองเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ใน พระราชดำริ โดยร่วมมือกับ บริษัท ฟอร์ด เซลล์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท ปตท. จำกัด มหาชน
25. ฟอร์ด เรนเจอร์ โอเพ้นแค็บไฮไรเดอร์ พระราชทานเป็นรถในโครงการทดลองข้าว โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา ในพระราชดำริ
26. โตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ Extra-Cab 2.5G D4D พระราชทานให้มูลนิธิชัยพัฒนาใช้
27. โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส 1.6G พระราชทานให้เป็นรถตัวอย่างก๊าซธรรมชาติเอ็นจีวี
28. เมอร์ซิเดส เบนซ์ S600L W220 พระราชทานให้ พลเอก เปรม ติณณสูลานนท์ องคมนตรี ใช้เป็นรถประจำตำแหน่ง
29. เมอร์ซิเดส เบนซ์ E280 W211 พระราชทานให้เป็นรถตามเสด็จ/ขบวนแดง/พระประเทียบ

ข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%99%E0% B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_9".

ในหลวงของไทยครองตำแหน่งนักลงทุนอันดับ1ของประเทศ

โดยวิลเลียม เมลเลอร์ สำนักข่าวบลูมเบิร์ก
(*บลูมเบิร์กเป็นสำนักข่าวด้านการเงินการลงทุนที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆขอ
งโลก-ผู้แปล)
-การถือครองสิริราชย์สมบัติผ่านทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กว่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
-ในปัจจุบันพระเจ้าอยู่หัวทรงมีที่ดิน13,000 เอเคอร์ ในนั้นกว่า 3,000 เอเคอร์อยู่ในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของไทย โดยพื้นที่บางแห่งมีมูลค่ากว่า 30 ล้านเหรียญต่อเอเคอร์

ทางด้านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานหุ้นที่ในหลวงของพสกนิกรชาวไทยถืออยู่ในนามของพระองค์ท่านมีดังนี้

1.SAMCO : บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) เจ้าของธุรกิจหมู่บ้านสัมมากร

ลำดับ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จำนวนหุ้น (หุ้น) %

1 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 197,414,850 43.87

2 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสรา 45,847,050 10.19

3 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี 25,000,000 5.56

ที่มา:http://www.set.or.th/set/companyinfo.do?type=holder&symbol=samco&language=th&country=TH

2.TIC : บริษัท ไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เจ้าของบริษัทประกันภัย

ลำดับ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จำนวนหุ้น (หุ้น) %

1 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 3,526,567 18.56
5 สำนักงานพระคลังข้างที่ บ/ช วัดพระศรีรัตนศาสดาราม 456,168 2.40

7 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสรา 391,276 2.06

9 สำนักงานพระคลังข้างที่ บ/ช สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ 299,520 1.58

15 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี 214,755 1.13

ที่มา:http://www.set.or.th/set/companyinfo.do?type=holder&symbol=tic&language=th&country=TH

3. MINT : บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เจ้าของธุรกิจพิซซ่า และไอศครีมSWENSEN

ลำดับ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จำนวนหุ้น (หุ้น) %

1 บริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 503,478,032 17.19

17 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 42,583,274 1.45

27 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 17,300,800 0.59

28 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสรา 16,988,094 0.58

ที่มา: http://www.set.or.th...e=th&country=TH

4.SINGER : บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) เจ้าของธุรกิจจักรเย็บผ้าและตู้เย็นเงินผ่อนSINGER


ลำดับ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จำนวนหุ้น (หุ้น) %

1 SINGER ( THAILAND) B.V. 129,600,000 48.00

12 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 1,383,770 0.51

ส่วนหุ้นที่ไม่ได้ถือหุ้นในนามของพระองค์ท่าน แต่ผ่านทางสำนักงานทรัพย์สินฯ ตลาดหลักทรัพย์ก็รายงานไว้ดังนี้

1.DVS : บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) เจ้าของธุรกิจประกันภัย


ลำดับ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จำนวนหุ้น (หุ้น) %

1 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 10,475,992 87.30

2 บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด 1,042,200 8.69

3 คณะบุคคลนายวศิน นางกิ่งกาญจน์ โดยนายสมเกียรติ วงศ์รัตน์ 70,460 0.59

ที่มา:http://www.set.or.th/set/companyinfo.do?type=holder&symbol=dvs&language=th&country=TH

2. SCC : บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) เจ้าของธุรกิจปูนซิเมนต์ กระดาษ ปิโตรเคมี และฯลฯ

ลำดับ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จำนวนหุ้น (หุ้น) % หุ้น

1 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 360,000,000 30.00

6 บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด 23,202,000 1.93

7 สำนักงานพระคลังข้างที่
ที่มา:http://www.set.or.th/set/companyinfo.do?type=holder&symbol=SCC&language=th&country=TH

3. SCB : ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

1 CHASE NOMINEES LIMITED 42 127,748,066 6.74


5 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 100,265,685 5.29

6 บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด 82,010,000 4.33

9 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 50,000,000 2.64

ที่มา:http://www.set.or.th/set/companyinfo.do?type=holder&symbol=SCB&language=th&country=TH

ส่วนตรงนี้เป็นการรายงานของสำนักงานทร้พย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ครับ

เดิมสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ อยู่ในความดูแลรักษาของสำนักงานพระคลังข้างที่ ในสังกัดสำนักพระราชวัง ต่อมา มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการยกเว้นภาษีอากรเกี่ยวกับทรัพย์สินส
่วนพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2477 เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2478 โดยบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ได้แบ่งแยกทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ออกเป็น 2 ประเภท


สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มีผู้เช่าในความดูแลประมาณ 37,000 สัญญา โดยกระจายอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประมาณ 25,000 สัญญา ส่วนภูมิภาคซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครสวรรค์ พิษณุโลก พิจิตร ลำปาง ราชบุรี เพชรบุรี สงขลา นครปฐม ฉะเชิงเทรา และชลบุรี รวมประมาณ 12,000 สัญญา

ขอเชิญพสกนิกรชาวไทยน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณจองธนบัตรเฉลิมพระเกียรติ
80ปี น้อมถวายในหลวง1,000ล้านบาท

ธปท.ออกธนบัตรที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติฯ80ปีในหลวง ตั้งเป้าได้ไม่น้อยกว่า1,000ล้านบาททูลเกล้าถวาย

แบงก์ชาติคลอดธนบัตรที่ระลึกฯ80ปี 1 บาท 5 บาท 10 บาท 15 ล้านชุด แบบไม่ตัดแบ่งเปิดจองหมวด 9 หน้า ราคา 300 บาท ที่แบงก์พาณิชย์ แบงก์รัฐทั่วประเทศ 2 ส.ค.นี้ ส่วนหมวดปกติ 100 บาท แลกได้ 28 พ.ย.นี้

นายสมชาย ศฤงคารินกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนและสนับสนุนการบริหาร ธปท.กล่าวว่า ถ้าจำหน่ายได้หมด จะมีรายได้ส่วนต่างจากมูลค่าหน้าธนบัตรที่ระลึกฯ หลังหักค่าใช้จ่ายจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท

เครื่องบินพระราชพาหนะ ปัจจุบันมีดังนี้

1.โบอิ้ง 737-400 ซึ่งปัจจุบันเป็นเครื่องพระที่นั่งที่ประจำการ
2.Airbus 319-300 เป็นเครื่องพระที่นั่งสำรอง
3.Airbus-ACJ 319 หรือไทยคู่ฟ้าเดิม เป็นเครื่องพระที่นั่งสำรอง

และ ที่มาใหม่ลำนี้
4. โบอิ้ง 737-800 ไม่ทราบราคาจริงๆ เท่าไหร่ แต่งบประมาณที่ตั้งไว้
คือ 3100 ล้านบาท ตั้งตอนปี 2548 สมัยรัฐบาลทักษิณ น่าจะอยู่ในงบ
ปี 49 นะ ยังไม่มีเวลาค้น

เมื่อลำใหม่ 737-800 มาจะมาเป็นเครื่องพระที่นั่งลำหลัก
แล้ว 737-400 อาจจะถูกประจำการกับฝูงบินเดโชชัยของ
สมเด็จพระบรมฯ ครับ

"ในประเทศไทยถ้าคุณเป็นปัญญาชนจริงๆ ต้องกล้าพูดเรื่องสถาบันกษัตริย์
ถ้าคุณไม่กล้าพูดอย่างมากก็เป็นคนที่รับใช้รัฐแล้วเขียนลงหนังสือพิมพ์เอา
รายได้ต่อเดือนต่อวันไปเท่านั้น"

- สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

http://weareallhuman.net/index.php?showtopic=251

--
โปรดอ่าน blog
www.pridiinstitute.com
www.nakkhaothai.com
www.pcpthai.org
http://wdpress.blog.co.uk
http://rsm2009-rsm2009.blogspot.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
www.youtube.com/user/naiissarachon#p/a/u/0/34ZvscsnCbA

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เจาะตลาดขายส่ง "เจียงหนาน" เมืองหลวงผัก-ผลไม้แห่งนครกว่างโจว


วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4187  ประชาชาติธุรกิจ


เจาะตลาดขายส่ง "เจียงหนาน" เมืองหลวงผัก-ผลไม้แห่งนครกว่างโจว





"กวางตุ้ง" เป็นมณฑลที่มีมูลค่า GDP มากที่สุดของประเทศจีน หรือ 3.57 ล้านล้านหยวน เมื่อเทียบกับ GDP ของประเทศไทย ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.84 ล้านล้านหยวน มีผลผลิตรวมทางอุตสาหกรรม การค้าระหว่างประเทศ การนำเข้า-ส่งออก การค้าปลีกสินค้าบริโภค และรายรับจากการท่องเที่ยวมากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ โดยมีเขตเศรษฐกิจพิเศษถึง 3 แห่งที่ เมืองเสิ่นเจิ้น จูไห่ และซัวเถา ถือเป็น growth engine หลักของเศรษฐกิจจีน รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการแสดงสินค้านานาชาติระดับโลกของจีน ส่งผลทำให้ประชากรในมณฑลกวางตุ้งมีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับ 6 ของประเทศ

ใน ปี 2552 การนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทยของมณฑลกวางตุ้ง จะยังคงรักษาระดับใกล้เคียงกับปี 2551 สำหรับผลไม้และยางพารามีปริมาณการนำเข้ามากขึ้น เนื่องจากปริมาณความต้องการในการบริโภคผลไม้และการใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบ เพิ่มสูงขึ้น โดยทั่วไปมณฑลกวางตุ้งมีปริมาณการนำเข้าผลไม้จากกลุ่มอาเซียนคิดเป็น 67.9% ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมด และมีปริมาณการนำเข้าผลไม้จากไทยมากถึง 83.4% ของปริมาณการนำเข้าผลไม้จากอาเซียน หรือคิดเป็นสัดส่วน 56.6% ของปริมาณการนำเข้าผลไม้ทั้งมณฑล

เจาะเส้นทางขนส่งผลไม้จากไทยสู่จีน

ปัจจุบัน ผลไม้ไทยร้อยละ 70 จะถูกส่งไปจำหน่ายที่ตลาดขายส่งผลไม้"เจียงหนาน" นครกว่างโจว โดยอาศัยเส้นทางการขนส่ง 4 ช่องทาง ได้แก่ สายที่ 1 เข้าฮ่องกงผ่านด่านทางบกเหวินจิ่นตู้ (เสิ่นเจิ้น) ไปยังตลาดค้าส่งผักผลไม้เจียงหนาน ใช้เวลาขนส่ง ประมาณ 4 วัน 4 ชั่วโมง สายที่ 2 ระยะเวลาขนส่งกรุงเทพฯ-เจียงหนาน เข้าฮ่องกงผ่านท่าเรือหลานสือ (ฝอซาน) ไปยังตลาดค้าส่งผักผลไม้เจียงหนาน ใช้เวลาขนส่งประมาณ 4 วัน 10 ชั่วโมง

สายที่ 3 เข้าฮ่องกงผ่านท่าเรือฮวางผู่ (กว่างโจว) ใช้เวลาขนส่งประมาณ 4 วัน 6 ชั่วโมง 30 นาที และสายที่ 4 ขนส่งสินค้าจากกรุงเทพฯไปยังตลาดเจียงหนาน โดยไม่ผ่านฮ่องกง ใช้เวลาในการขนส่งประมาณ 4 วัน 4 ชั่วโมง สำหรับเส้นทางจากกรุงเทพฯไปท่าเรือเสอโข่ว มีต้นทุนค่าขนส่งโดยรวมประมาณ 66,500-73,500 บาท (ตู้ 40 ฟุต) ตลาดค้าส่งผักผลไม้ เจียงหนานมีการซื้อขายผักเฉลี่ยวันละ 10,000 ตัน ผลไม้วันละ 5,000 ตัน โดยตลาดแห่งนี้เป็นตลาดค้าส่งไปยังต่างมณฑลทั่วประเทศจีน และตลาดค้าส่งแก่ผู้ประกอบการค้าส่ง-ปลีกในมณฑลกวางตุ้ง ผ่านช่องทางหาบเร่ แผงลอย ร้านค้าท้องถิ่น ชุมชน และโมเดิร์นเทรด

สำนักงานเศรษฐกิจ การเกษตร (สศก.) ได้รวบรวมข้อมูลการส่งออกผลไม้สดจากไทยไปจีนในปี 2550 คิดเป็นปริมาณ 294,888 ตัน มูลค่า 4,955 ล้านบาท ปี 2551 ปริมาณ 368,290 ตัน มูลค่า 9,253 ล้านบาท และปี 2552 ปริมาณ 600,705 ตัน มูลค่า 9,420 ล้านบาท ในขณะที่บริษัท ตลาดค้าส่งผักและผลไม้ เจียงหนาน จำกัดเองได้รวบรวมสถิติผลไม้ไทยในปี 2550 มีปริมาณ 286,210 ตัน มูลค่า 13,758.30 ล้านบาท ปี 2551 ปริมาณ 335,140 ตัน มูลค่า 15,799.10 ล้านบาท และปี 2552 ปริมาณ 18,690 ตัน มูลค่า 20,473.90 ล้านบาท

อุปสรรคผลไม้ไทยในตลาดจีน

นาง อุไร สุวรรณวงศ์ กงสุลฝ่ายการเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว กล่าวว่า ปัญหาอุปสรรคของการค้าผลไม้ไทยในประเทศจีน ในด้านผู้ส่งออกพบว่าการเสียค่าใช้จ่ายในการออกแบบเหมารวม ทำให้ไม่มีหลักฐานในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ปัญหาการค้าแบบฝากขาย ทำให้ผู้ค้าฝ่ายไทยเสียเปรียบ มีการตั้งราคากลางในการประเมิน VAT 13% สูงกว่าราคาจริงที่ขายได้ ซึ่งฝ่ายไทยคงต้องเปิดการเจรจากับศุลกากรมณฑลกวางตุ้ง

นอกจากนี้ หน่วยงานตรวจสอบสุขอนามัย CIQ ยังแจ้งว่า พบศัตรูพืชที่ยังมีชีวิต เช่น มดดำ (มังคุด) เพลี้ยแป้ง (ลำไย) เพลี้ยหอย (ทุเรียน) เป็นศัตรูพืชกักกันของจีน รวมทั้งสูงกว่าที่จีนกำหนด และมีปัญหาการปลอมแปลงแหล่งกำเนิดสินค้า โดยมีผู้นำเข้าผลไม้เวียดนามแล้วแอบอ้างว่าเป็นผลไม้ไทย ทางด่านผิงเสียง มณฑลกว่างสี เนื่องจากเวียดนามได้รับอนุญาตให้นำเข้าผลไม้ได้เพียง 8 ชนิด ขณะที่ผลไม้ไทยได้รับอนุญาตมากถึง 23 ชนิด ด้านผู้ขายพบว่าได้นำผลไม้ชาติอื่นมาจำหน่ายในนามผลไม้ไทย เนื่องจากได้ราคาดีกว่าแต่คุณภาพไม่ดี ทำให้เสียชื่อผลไม้ไทย

ปัญหา เส้นทางขนส่งโลจิสติกส์ที่ยังมีปัญหาการกระจุกตัวของจุดนำเข้าสินค้ามุ่ง กระจายสินค้าสู่ภาคเหนือและภาคตะวันตกของจีน ผู้ส่งออกไทยควรเลือกใช้เส้นทางโลจิสติกส์ใหม่ ๆ เช่น เส้นทางขนส่งทางบก ได้แก่ สาย R3E ประมาณ 2,272 กิโลเมตร (กทม.-เชียงราย-คุนหมิง-เฉิงตู) กับสาย R9 ประมาณ 1,150 กิโลเมตร (มุกดาหาร-ลาว-เวียดนาม-ด่านผิงเสียง กว่างสี) เส้นทางขนส่งทางน้ำ-ท่าเรือ เสอโข่ว และการขนส่งทางอากาศ

แนะเปิดตลาดให้ถูกใจคนกวางตุ้ง

ผล ไม้ที่เป็นที่นิยมของชาวจีน ได้แก่ทุเรียน ลำไย มังคุด กล้วย คู่แข่งสำคัญในการส่งออกผลไม้เมืองร้อนของไทย คือ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และไต้หวัน นอกจากทุเรียน มังคุด ลำไย ที่เป็นสินค้าหลักของไทยแล้ว กลุ่มผลไม้ที่มีแนวโน้มเติบโตดีในตลาดจีน คือ กล้วยไข่ เงาะ ชมพู่ มะขามหวาน ขนุน ส้มโอ มะม่วง สละ ผลไม้ไทยในตลาดจีนที่ยังไม่มีคู่แข่ง คือ ทุเรียน ส่วนกล้วยไข่ที่รู้จักในชื่อ "หวงตี้เจียว" หมายถึง "กล้วยจักรพรรดิ" ขณะนี้กำลังเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในวงกว้างขึ้น

ส่วนลองกอง ตลาดจีนยังไม่ค่อยรู้จัก แต่ก็เริ่มมีผู้นำเข้ามาขายและผู้บริโภคที่ได้ทดลองชิมแล้ว คนจีนส่วนใหญ่ชอบลองกอง แต่ยังมีปัญหาในเรื่องของอายุในการเก็บรักษาค่อนข้างสั้นและมีปัญหาเชื้อรา ที่ผิว ทำให้อายุการวางขายสั้น ปัจจุบันมะปราง แก้วมังกร แตงโม แคนตาลูป และพุทรา ยังไม่อยู่ในรายชื่อผลไม้ไทยที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าจีน แต่เป็นผลไม้ที่มีศักยภาพ

ผลการสำรวจรสนิยมการรับประทานผลไม้ของ ผู้บริโภคชาวจีน มณฑลกวางตุ้ง พบว่าร้อยละ 80 ชอบทานผลไม้สด ร้อยละ 20 ชอบทานผลไม้แห้งและแปรรูป คนกวางตุ้งนิยมซื้อผลไม้ทั้งลูกมากกว่าการแกะเนื้อ รวมทั้งนิยมรับประทานผลไม้รสหวาน ด้านพฤติกรรมผู้บริโภคชาวจีน มณฑลกวางตุ้ง ที่มีต่อผลิตภัณฑ์สินค้าแปรรูปพบว่า คนกวางตุ้งนิยมสีสันสวยงามโดยเฉพาะสีแดง ทอง เนื่องจากมีความหมายที่ดี เป็นสิริมงคล และสามารถซื้อเป็นของฝากของขวัญในช่วงเทศกาลสำคัญต่าง ๆ ของจีนได้


หน้า 7
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02inv04250253&sectionid=0203&day=2010-02-25

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

สมาชิกพระราชวงศ์อังกฤษหันใช้บริการTAXI ประหยัดเงินภาษีของราษฎร ราว 57,000 ปอนด์

31 มค. 2553 12:46 น.

เว็บไซท์หนังสือพิมพ์เดลี่เมล รายงานว่า สมาชิกในพระราชวงศ์อังกฤษ ต่างต้องหันไปใช้บริการแท็กซี่ป้ายดำ ในการไปร่วมพิธีหมั้นอย่างไม่เป็นทางการ แทนที่จะใช้ขบวนรถหรู ในขณะที่สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 ทรงพยายามลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น รายงานระบุว่า บรรดาสมาชิกรุ่นเยาว์ในพระราชวงค์ คือ วิสเคนท์ ลินลีย์ และเลดี้ แช็ตโต้ ต่างก็ใช้บริการรถแท็กซี่ทางโทรศัพท์ ซึ่งบรรดาที่ปรึกษาทางการเงิน ต่างก็ปรับปรุงแผนการให้บรรดาสมาชิกรุ่นเยาว์ในพระราชวงศ์ หันมาใช้บริการรถแท็กซี่กันให้มากขึ้น ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม ถ้าทำได้ รวมทั้งเจ้าชายแฮร์รี่ , เจ้าหญิงเบียทริซ และเจ้าหญิงอูเชนีด้วย
พวกเจ้าหน้าที่ในสำนักพระราชวัง ต่างก็ได้รับการกระตุ้นให้ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ หรือไม่ก็เดินไปร่วมงานที่เป็นทางการ หรือการประชุม แทนที่จะใช้รถแท็กซี่ เจ้าหน้าที่อารักขาพระราชวงศ์ต่างไม่วิตกต่อเรื่องการรักษาความปลอดภัย เพราะมองว่า แท็กซี่ป้ายดำเป็นหนทางที่ดีที่สุด ที่สามารถรองรับบุคคลพิเศษเหล่านี้ได้
สมเด็จพระราชินี ทางพยายามใช้มาตรการตัดค่าใช้ที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะในประเด็นที่นำมาซึ่งความขัดแย้ง เมื่อปีที่แล้ว มีการเปิดเผยเป็นครั้งแรก ตอนที่สมเด็จพระราชินีทรงประทับรถไฟไปยังนครซานดริงแฮม แทนที่จะใช้ขบวนรถสำหรับพระราชวงศ์ เพื่อประหยัดเงินภาษีของราษฎร ราว 57,000 ปอนด์ ซึ่งในยุค 90 เจ้าหญิงไดอาน่า ก็เคยทรงใช้บริการแท็กซี่ทางโทรศัพท์ เพื่อลดค่าใช้จ่าย หลังทรงหย่าขาดจากเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และสำนักงานพระราชวังเซนต์ เจมส์ และพระตำหนักแคลเรนซ์ เฮาส์ต่างก็ยืนยันว่า มีเบอร์แท็กซี่ทางโทรศัพท์เพื่อใช้บริการจริง
 

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

ประมูลรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินคึกคัก รับเหมาไทย-เทศ 25 รายแห่ชิงเค้ก 5.2 หมื่นล้าน ยื่นซอง 29 เม.ย.นี้



วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553 เวลา 16:50:40 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ประมูลรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินคึกคัก รับเหมาไทย-เทศ 25 รายแห่ชิงเค้ก 5.2 หมื่นล้าน ยื่นซอง 29 เม.ย.นี้

รับ เหมาไทย-เทศแห่ซื้อซองประมูลรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน "บางซื่อ-ท่าพระและหัวลำโพง-บางแค"คึกคักถึง 25 รายหลังปิดขายซองวันนี้ ทั้งอิตัลไทย ช.การช่วง ซิ-โนไทยฯ โอบายาชิ Sumitomo รวมถึงทุนจากจีน เกาหลี ใต้หวัน ฝรั่งเศส อิตาลีคับคั่ง เผยงานก่อสร้างรมี 5 สัญญา มูลค่าโครงการรวม 5.2 หมื่นล้านบาท

รับเหมาไทย-เทศแห่ซื้อซองประมูลรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน "บางซื่อ-ท่าพระและหัวลำโพง-บางแค"คึกคักถึง 25 รายหลังปิดขายซองวันนี้ ทั้งอิตัลไทย ช.การช่วง ซิ-โนไทยฯ โอบายาชิ Sumitomo รวมถึงทุนจากจีน เกาหลี ใต้หวัน ฝรั่งเศส อิตาลีคับคั่ง เผยงานก่อสร้างรมี 5 สัญญา มูลค่าโครงการรวม 5.2 หมื่นล้านบาท

ผู้สื่อข่าว”ประชาชาติธุรกิจ”รายงานว่า หลังจากที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.)เปิดขายเอกสารประกวดราคา ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ-ท่าพระและหัวลำโพง-บางแค ระยะทาง 27 กิโลเมตร ค่าก่อสร้าง 52,257 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 20-28 มกราคมที่ผ่านมา ปรากฎว่ามีผู้รับเหมาทั้งไทยและต่างประเทศมาซื้อแบบ ทั้งหมด 25 ราย ประกอบด้วย
1.บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ซื้อสัญญา 1-4 
2.บริษัท โอบายาชิ คอร์ปอเรชั่น ซื้อสัญญา 3
3.บริษัท ช.การช่าง จำกัด(มหาชน) ซื้อสัญญา1-5
4.บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) ซื้อสัญญา1-4
5.บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) ซื้อสัญญา 1-5

6.บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด(มหาชน) ซื้อสัญญา 1-5

7.บริษัท CTCI คอร์ปอร์เรชั่น จากประเทศไต้หวัน ซื้อสัญญา 5

8.บริษัท อัลสตอม(ประเทศไทย) จำกัด ซื้อสัญญา 5

9.บริษัท เอสเอ็นซี-ลาวาลิน อินเตอร์เนชั่นแนล อิ๊งค์ ซื้อ 5 สัญญา 

10.บริษัท DAIHO คอร์ปอร์เรชั่น ซื้อสัญญา1-4

11.บริษัท ชุนโว(ประเทศไทย) จำกัด ซื้อสัญญา 5

12.บริษัท มิตซุยแอนด์คัมปนี(ไทยแลนด์) จำกัด ซื้อสัญญา 5

13.บริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) ซื้อสัญญา 1และ 4

14.บริษัท Cooperativa Muratori C.M.C.di Ravena จากประเทศอิตาลี ซื้อสัญญา 1และ 2

15.บริษัท เอ.เอส.แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง(1964) จำกัด ซื้อสัญญา 5

16.บริษัท เอ็ม.ซี.คอนสตรัคชั่น (1979) จำกัด ซื้อสัญญา3

17.บริษัท Sinohydro corporation จากประเทศจีน ซื้อสัญญา1-4 

18.บริษัท Zhongtian construction Group จากประเทศจีน ซื้อสัญญา1,2 ,3,4

19. บริษัท DAELIM INDUSTRIAL CO.,LTD จากประเทศเกาหลี ซื้อสัญญา1และ 2 

20.บริษัท ALSTOM Transport SA จากประเทศฝรั่งเศส ซื้อสัญญา 5

21.บริษัท Laing O’Rourke Australia Construction Pty Ltd จากประเทศออสเตรเลีย ซื้อสัญญา 5

22. บริษัท Gamuda Berhad จากประเทศมาเลเซีย ซื้อสัญญาที่1,2,4,5 

23. บริษัทSumitomo Corporation จากประเทศญี่ปุ่น ซื้อสัญญาที่ 5

24. บริษัท ETF-Eurovia Travaux Ferroviaires จากประเทศฝรั่งเศส ซื้อสัญญาที่ 5

25.บริษัท Chtna Railway18 Group จากประเทศจีน ซื้อสัญญาที่ 5

 

สำหรับรายละเอียดงานก่อสร้าง

สัญญาที่ 1 เป็นงานออกแบบควบคู่การก่อสร้างเส้นทางใต้ดิน ช่วงหัวลำโพง-สนามไชย ระยะทาง 2.8 กิโลเมตร วงเงิน 11,592..99 ล้านบาท

สัญญาที่2 งานออกแบบควบคู่การก่อสร้างเส้นทางใต้ดิน ช่วงสนามไชย-ท่าพระ ระยะทาง 2.6 กิโลเมตร วงเงิน 10,766.60 ล้านบาท

สัญญาที่ 3 งานโครงสร้างยกระดับช่วงเตาปูน-ท่าพระ ระยะทาง 11 กิโลเมตร วงเงิน 11,352..75 ล้านบาท

สัญญาที่ 4 งานโครงสร้างยกระดับช่วงท่าพระ-หลักสอง ระยะทาง 10.5 กิโลเมตร วงเงิน 13,390..34 ล้านบาท

สัญญาที่ 5 งานออกแบบควบคู่การก่อสร้างระบบรางรถไฟฟ้าทั้งโครงการ วงเงิน 5,153.94 ล้านบาท

โดยรฟม.มีกำหนดให้ยื่นซองประกวดราคาวันที่ 29 เมษายน 2553นี้


http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1264671146&grpid=00&catid=no
--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
kb
http://www.healthstation.in.th/index1.html
http://camp02.blogspot.com/ camp02
http://kb1951.blogspot.com/ tkpark
http://kbparks.blogspot.com/ tkpark9
http://word1951.blogspot.com/ wordpress
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/
http://gotoknow.org/blog/krunoppol/
http://baankruaeed.wordpress.com/
http://ngaochan.hi5.com/
http://www.oknation.net/blog/subaltern
http://gotoknow.org/migrantworkers

พบอีก"สนามบินเพชรบูรณ์"ร้างมา 5 ปี ทุ่มงบฯสร้างเกือบ 700 ล. ปล่อยเครื่องบิน"แอนโตนอฟ"จอดแช่ไร้ประโยชน์











วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553 เวลา 21:45:38 น.  มติชนออนไลน์

พบอีก"สนามบินเพชรบูรณ์"ร้างมา 5 ปี ทุ่มงบฯสร้างเกือบ 700 ล. ปล่อยเครื่องบิน"แอนโตนอฟ"จอดแช่ไร้ประโยชน์

สำรวจ ทั่วประเทศ หาสนามบินร้าง ปล่อยทิ้งไร้ประโยชน์ พบที่ "เพชรบูรณ์" ทุ่มงบฯสร้าง 662.25ล. ตั้งแต่ปี43 สุดท้ายเจ๊ง ไม่มีสายการบินลง ปล่อยเครืองบินแบบ "แอนโตนอฟ" 52 ที่นั่ง จอดแช่ไร้ประโยชน์ "โสภณ"เรียกทุกหน่วยงานเกี่ยวข้องนัดถก 5 ก.พ. ปรับใหม่บริหารแอร์พอร์ต-สายการบินทั่วประเทศ

ความคืบหน้ากรณีสนามบินหลายแห่งทั่วประเทศถูกปล่อยให้รกร้าง ไม่สามารถให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ เนื่องจากสายการบินพาณิชย์ที่เคยเปิดบริการประสบภาวะขาดทุน เนื่องจากไม่มีประชาชนและนักธุรกิจใช้บริการหรือใช้บริการน้อยจนไม่คุ้มต่อ การให้บริการการบิน


ล่าสุด เมื่อวันที่ 28 มกราคม นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) นัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสนามบินทั้งหมด รวมทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กองบัญชาการทหารอากาศ (ทอ.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มาหารือในวันที่ 5 กุมภาพันธ์นี้ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับความต้องการ แนวทางการบริหารงานสนามบินทั่วประเทศ รวมทั้งการปรับเส้นทางการบินภายในประเทศ เพื่อแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ


 นายโสภณ กล่าวว่า จะนำข้อมูลที่ได้มาวางแผนเรื่องการใช้สนามบิน การวางแผนเส้นทางการบิน โดยเบื้องต้นจะให้ข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ ก่อน เพราะกระทรวงคมนาคมต้องการที่จะพัฒนาสนามบินที่มีอยู่ทั่วประเทศไปใช้ให้ เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 1 มีนาคมนี้ ก่อนที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จะยกเลิกเส้นทางบินภายในประเทศทั้ง 3 เส้นทาง

 

 "เราจะต้องใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิด ประโยชน์สูงสุด เพราะสร้างขึ้นมาแล้วและใช้งบประมาณจำนวนมากจะไปทุบทิ้งก็ไม่ได้ ก็เลยต้องถามว่าใครอยากจะเข้ามาใช้บ้าง" นายโสภณกล่าว

 

 นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคมกล่าวว่า ขณะนี้กำลังศึกษารายละเอียดของสนามบินภูมิภาคทั้ง 28 แห่ง ว่า สนามบินใดมีศักยภาพเพียงพอที่จะนำมาพัฒนาใช้ในเชิงพาณิชย์ได้  เบื้องต้นคาดว่าจะมีประมาณ 12 แห่ง ส่วนที่เหลือกำลังดูรายละเอียด

 

 รายงานข่าวจากกรมการบินพลเรือน (บพ.)แจ้งว่า ท่าอากาศยานภูมิภาคส่วนใหญ่ของ บพ.มีผลการดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่อง เนื่องจากมีปริมาณจราจรน้อย บางครั้งผู้ขอใช้บริการเป็นภาครัฐและรัฐวิสาหกิจไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม เช่น เที่ยวบินทหาร การฝึกบิน เป็นต้น ซึ่งไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ไม่ว่าจะมีปริมาณจราจรมากน้อยเพียงไร แต่ละแห่งก็มีรายจ่ายขั้นต่ำที่จำเป็นต้องจ่าย ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เงินเดือน และค่าตอบแทนแรงงาน การซ่อมบำรุงรักษา โดยในปีงบประมาณ 2552 นั้น บพ.ได้รับงบในการดูแลบริหารสนามบินทั้ง 28 แห่ง รวม 89 ล้านบาท ส่วนปีงบประมาณ 2553 ได้รับจัดสรร 106 ล้านบาท ขณะที่การจัดเก็บรายได้ ปี 2552 อยู่ที่ 204 ล้านบาท และคาดว่าปี 2553 จะจัดเก็บได้ 220 ล้านบาท เนื่องจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ลดค่าธรรมเนียมการใช้บริการสนามบิน 50% ตั้งแต่ปี 2552-53

 

 

อย่างไรก็ตาม ในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมนั้น บพ.ไม่ได้เก็บตามต้นทุนราคาที่แท้จริง เนื่องจากเป็นการให้บริการทางสังคม จึงไม่ได้เน้นเรื่องกำไร


 
 รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับผลประกอบการของท่าอากาศยานตั้งแต่ปี 2549-2551 มีผลกำไร 0.97 , 70.67 และ 66.55 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลกำไรจากท่าอากาศยาน 6 แห่ง คือ กระบี่ อุดรธานี ขอนแก่น อุบลราชธานี นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี ขณะที่อีก 22 แห่งขาดทุน โดยสนามบินที่ขาดทุนมากที่สุด 3 อันดับคือ หัวหินขาดทุน 6.2 ล้านบาท นครราชสีมา 6.04 ล้านบาท และนราธิวาส 5.13 ล้านบาท


 "โอกาสในการทำกำไรของท่าอากาศยานใน อนาคตยังมีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวและเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจมีน้อย และรัฐเห็นว่าการขนส่งอากาศในจังหวัดต่าง ๆ เป็นการให้บริการเชิงสาธารณะ จึงเก็บค่าธรรมเนียมน้อยกว่าท่าอากาศยานในภูมิภาคของ ทอท." แหล่งข่าวระบุ และว่า นอกจากนี้รายได้ของท่าอากาศยานส่วนใหญ่จะต้องนำส่งคลัง ทั้งค่าธรรมเนียมการขึ้นลงอากาศยาน และที่เก็บอากาศยาน ค่าเช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ มีเพียงค่าธรรมเนียมการใช้ท่าอากาศยานเท่านั้นที่บพ.มีสิทธิจัดสรรเป็นเงิน กองทุนหมุนเวียนให้ท่าอากาศยานใช้จ่ายโดยไม่ต้องส่งคลัง

 

 ผู้สื่อข่าวภูมิภาค"มติชน"ประจำจ.เพชรบูรณ์ รายงานว่า สนาม บินเพชรบูรณ์ เปิดกิจการมาตั้งแต่ปี 2543 ใช้งบประมาณก่อสร้าง 662.25 ล้านบาท แต่ไม่มีเครื่องบินของสายการบินพาณิชย์ลงจอดเมานานราว 5 ปีแล้ว แม้สภาพอาคารที่พักผู้โดยสารและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมทั้งรันเวย์หรือทางวิ่ง หอบังคับการบิน ระบบวิทยุช่วยการเดินอากาศ อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ก็ตาม สาเหตุเพราะการบินไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย โดยสายการบินแรกที่เคยเปิดให้บริการ คือ สายการบินไทย เปิดบริการระหว่างปี 2543-45 โดยใช้เครื่องบินขนาด 149 ที่นั่งบินในเส้นทาง กรุงเทพฯ-เพชรบูรณ์-ลำปาง-กรุงเทพฯ

 

 ต่อมาสายการบินพีบีแอร์เปิดเที่ยวบิน เพชรบูรณ์-กรุงเทพฯ ระหว่างปี 2545 - 2547 โดยใช้เส้นทางการบินเดียวกัน หลังจากนั้นไม่มีเครื่องบินพาณิชย์มาลงจอดอีกเลย แม้สายการบิน แอร์ฟินิค จะให้ความสนใจและมาแถลงเปิดตัวเพื่อดำเนินกิจการต่อในปี 2551 แต่ท้ายที่สุดกลับเงียบหายไป

 

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดมีนักธุรกิจของจ.เพชรบูรณ์เตรียมลงทุนสายการบินพาณิชย์ภายใต้ชื่อ "เพชรบูรณ์แอร์ไลน์" โดยกำหนดเส้นทางการบิน เพชรบูรณ์-ขอนแก่น-เชียงใหม่ และ เพชรบูรณ์-แม่สอด-น่านโดยนำเครื่องบิน"แอนโตนอฟ"(Antonov)รุ่น 24  ขนาด 52 ที่นั่ง ผลิตจากรัสเซียจอดไว้ที่ลานจอดท่าอากาศยานเพชรบูรณ์ แต่ติดปัญหาความพร้อมทำให้ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ กระทั่งเครื่องบินถูกปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ

 

 นายประสิทธิ์ สมบูรณ์พันธ์ เจ้าหน้าที่ดูแลท่าอากาศยานเพชรบูรณ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีข้าราชการและเจ้าหน้าที่ราว 20 คน คอยดูแลทั้งสถานที่และอุปกรณ์ต่างๆ จึงทำให้ท่าอากาศยานแห่งนี้ยังอยู่ในสภาพใช้งานได้ดี และที่ผ่านมาก็มีเครื่องบินเอกชนทั้งแบบเช่ามาลำและเครื่องบินของราชการมาลง จอดเป็นครั้งคราว

 

 นายกษิต โฆษิตานนท์ ประธาน หอการค้า จ.เพชรบูรณ์ กล่าวว่า ชาวเพชรบูรณ์เรียกร้องมาตลอดให้มีเครื่องบินมาจอด และน่าเสียดายที่เพชรบูรณ์มีสนามบินแต่กลับไม่มีเครื่องบินลง ส่วนที่สายการบินต้องลดเที่ยวบินไปโดยอ้างเรื่องไม่คุ้มกับจุดคุ้มทุนนั้น หากจัดสรรช่วงเวลามาลงที่เพชรบูรณ์ให้ดีเชื่อว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการค่อน ข้างมาก

 

 " ช่วงนี้เพชรบูรณ์เติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก ชาวเพชรบูรณ์ให้ความสนใจใช้บริการโดยสารทางอากาศเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีธุรกิจคาร์โก้ หากจัดเที่ยวบินให้ตรงตามความต้องการเชื่อว่า ผู้โดยสารต้องหันมาใช้บริการอย่างแน่นอน ส่วนการนำเครื่องบินขนาด 10 ที่นั่ง มาให้บริการถือเป็นอีกทางเลือกที่ขณะนี้หลายจังหวัดเริ่มหามาให้ความสนใจ แล้ว " นายกษิตกล่าว


 นายกษิตกล่าวว่า ทางที่ดีทางภาครัฐควรเป็นเจ้าภาพหลัก เชิญชวนและสนับสนุนสายการบินพาณิชย์มาลงทุน เพราะหากยังปล่อยให้สนามบินถูกทิ้งร้างไว้แบบนี้ นอกจากต้องเสียงบฯบำรุงดูแลรักษาแล้วยังเสียภาพลักษณ์

 




อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
พบสนามบินอุตรดิตถ์กลายเป็นที่ส่งยาบ้า-เลี้ยงวัว กรอ.มอบคมนาคมจัดการ ดูศักยภาพ28แห่งเผื่อเปิดใช้ใหม่
สนามบิน 3 จังหวัด ถูกปล่อยรกร้าง หลังไมมีเครื่องบินพาณิชย์ใช้บริการ
"โสภณ"เล็งบีบบินไทยเปิด3เส้นทางบินต่อ ไม่จ่ายชดเชยให้ขึ้นค่าตั๋วเอง สนามบินร้างเกลื่อน-ใช้เลี้ยงวัว
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1264680500&grpid=00&catid=19

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!  
news9
http://pnac-th.blogspot.com/  pnac-th
http://nature1951.blogspot.com/ nature1951
http://econnews9.blogspot.com/ econ
http://seminars9.blogspot.com/ ilaw
http://politic9.blogspot.com/ pdc9
http://jaecafe.com/feed
http://elibrary.nfe.go.th/index2.php
http://www.kmutt.ac.th/rippc/info.htm
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/sat191
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/sweetblog