ใครๆก็แก้กฎหมายได้(คุณก็ด้วย)
Bookmark and Share

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สมุนไพรไทย


สมุนไพรไทย

ความศรัทธาในการใช้สมุนไพรไทยในการป้องกันและบำบัดโรคหลายชนิดกำลังแพร่หลายมากยิ่งขึ้น

วันก่อน มีผู้เกี่ยวข้องในวงการ แพทย์แผนไทย มาสนทนาปรารภถึงความร่วมมือของทางการในด้านนี้ว่ามีน้อยมาก แถมบางครั้งยังขัดขวางโดยไม่มีเหตุผล

ปัจจุบันมีแพทย์แผนไทยจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีให้บริการอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆ มีความจำเป็นต้องใช้ยาไทยรักษาโรคตามทฤษฎีแพทย์แผนไทย ซึ่งตำรับยาเหล่านั้นส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ

การแพทย์แผนไทย ยาจากสมุนไพรถูกทอดทิ้งมาร่วม 100 ปี มีกลุ่มคนเห็นความจำเป็น ช่วยกันผลักดันและพัฒนามาด้วยความยากลำบาก

แต่เมื่อการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการการรักษาพยาบาลข้าราชการมีมูลค่าสูงขึ้น ทั้งที่ไม่มีการแยกแยะว่าค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นนั้น เกิดจากการสั่งใช้ยาแผนปัจจุบันใหม่ๆ แพงๆ นอกบัญชียาหลักแห่งชาติโดยไม่สมเหตุผลหรือไม่ แต่ไฉนจึงมาจำกัดการใช้ยาจากสมุนไพร

ตามหนังสือกระทรวงการคลังที่ กค 04422.2/ว 45 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2552 โดยกรมบัญชีกลางได้มอบหมายให้สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข โดยโครงการการพัฒนาระบบตรวจสอบการให้บริการรักษาพยาบาลข้าราชการนั้น

กรมบัญชีกลางได้กำหนดแนวทางประการหนึ่งว่า การเบิกจ่ายค่ายาสมุนไพร ให้เบิกจ่ายเฉพาะรายการรูปแบบ ความแรง ข้อบ่งใช้ และข้อมูลอื่นที่กำหนดในบัญชียาจากสมุนไพรและเภสัชตำรับของโรงพยาบาล ซึ่งเป็นรายการยาสมุนไพรที่มีอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติปัจจุบันเท่านั้น

ทั้งนี้ ห้ามสถานพยาบาลออกหนังสือรับรองของคณะกรรมการแพทย์ กรณีการใช้ยานอกบัญชียาหลัก

ข้อกำหนดดังกล่าว สมควรที่จะให้มีการทบทวนใหม่ เนื่องจาก

1. ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติยังอยู่ระหว่างการพัฒนา ปัจจุบัน มีเพียง 19 รายการ ซึ่งมิได้ครอบคลุมกลุ่มอาการของโรค ข้อมูลจากโครงการบูรณาการการแพทย์แผนไทย เข้าในระบบบริการสาธารณสุขแผนปัจจุบัน ปี 2549 สำรวจการใช้ยาของสถานบริการสาธารณสุขของรัฐส่วนภูมิภาค จำนวน 333 แห่ง พบว่ามียานอกบัญชียาหลักที่ใช้อยู่จำนวน 65 ตำรับ ซึ่งมากกว่ายาในบัญชียาหลักแห่งชาติถึง 46 รายการ

2. ยังไม่มีตำรับเภสัชโรงพยาบาลในส่วนของยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ

3. แพทย์แผนไทยที่ประกอบเวชกรรมในการรักษาผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่างๆ มีความจำเป็นต้องใช้ตำรับยาสมุนไพรที่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้มีการประกาศในบัญชียาหลักแห่งชาติ

4. เป็นการปิดกั้นไม่ให้การแพทย์แผนไทยและยาจากสมุนไพรของ ประเทศไทยเติบโต เพราะในขณะที่ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ถ้าเป็นยาแผนปัจจุบันราคาแพงแค่ไหน คณะกรรมการแพทย์สามารถออกใบรับรองให้ใช้ได้ แต่ถ้าเป็นยาจากสมุนไพรกลับห้าม

สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขและกรมบัญชีกลาง ควรรับฟังและทบทวนเรื่องนี้เพื่อประโยชน์ของข้าราชการและประชาชนโดยตรง.

"ซี.12"

http://www.thairath.co.th/content/pol/21773


--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://ilaw.or.th
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.projectlib.in.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.nstda.or.th/th
http://www.arda.or.th
http://www.nppdo.go.th
http://www.tlcthai.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.oknation.net/blog/assistance
http://weblogcamp2009.blogspot.com/

จากริมถนนขึ้นตึกไฮโซ "จีฉ่อย" ขวัญใจชาวจุฬาฯ

วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11462 มติชนรายวัน


จากริมถนนขึ้นตึกไฮโซ "จีฉ่อย" ขวัญใจชาวจุฬาฯ


สุทธาสินี จิตรกรรมไทย - เรื่อง ภานุมาศ สงวนวงษ์ - ภาพ




"จีฉ่อย" กับร้านจีฉ่อย

ตลาดสามย่าน ถูกรื้อจนราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว คราวนี้ถึงเวลาของ ตึกแถว ที่อยู่ด้านหน้าตลาดริมถนนพญาไทบ้าง

ตึกแถวชุดนี้หากนับอายุก็ล่วงเลยเข้าวัยกลางคนกำลังจะทุบทิ้ง...โดยเริ่มต้นลงมือไปบางส่วนแล้ว เหตุผลยอดฮิตที่เจ้าของที่ดินให้ไว้ก็คือ ต้องการจะพัฒนาพื้นที่บริเวณนั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ทุบทำไม ทุบแล้วสร้างอะไร เป็นคำถามที่ดังอื้ออึงอยู่ในหมู่อาจารย์และนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (แม้เจ้าของที่จะมีคำตอบอย่างเป็นทางการให้แล้วก็ตาม)

เพราะใครๆ ก็รู้ว่าตึกแถวที่กำลังจะทุบนี้เป็นที่ตั้งของร้าน "จีฉ่อย" ที่ชาวจุฬาฯยกย่องให้เป็น "ขวัญใจของชาวจุฬาฯ" ดังนั้น หากทุบตึกแถวทิ้งแล้ว

"จีฉ่อย" ขวัญใจจะย้ายร้านไปขายของที่ไหน เป็นที่หวั่นวิตกของชาวรั้วสีชมพูยิ่ง

"จีฉ่อย" เป็นใคร? มาจากไหน? ทำไมถึงมาเป็นขวัญใจชาวจุฬาฯ มีตำนานเล่ามาตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อ-รุ่นแม่

จีฉ่อย เป็นทั้งชื่อเจ้าของร้าน และชื่อร้านขายของชำหรือโชห่วยอันลือลั่นแห่งสามย่าน ตั้งอยู่บริเวณตึกแถวที่กำลังจะถูกทุบ ริมถนนพญาไท เจ้าของร้านชื่อจีฉ่อย เป็นหญิงชราร่างเล็กวัยประมาณ 70

ร้านจีฉ่อยปักหลักอยู่ตรงนี้มาไม่ต่ำกว่า 40 ปี ใครเดินผ่านไปมาต้องสะดุดตา เพราะข้างในร้านมีสินค้าอัดแน่นอยู่เต็มจนแทบไม่มีทางเดิน กระทั่งหลายคนแอบตั้งชื่อให้ใหม่เป็น "ห้างสรรพสินค้าจีฉ่อย" เพราะขายตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ!!

หากจะจาระไนของขายในร้านคงไม่สามารถจาระไนได้หมด เอาเป็นว่าใครไปถามหาจะซื้อสินค้าอะไร จีฉ่อยหาให้ได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอุปกรณ์การเรียน สมุด หนังสือ ยางลบ ปากกา อุปกรณ์กีฬา เรื่อยไปจนถึงหมุด ตะปู ค้อน เลื่อย สีทาบ้าน กระบวยตักน้ำ สายยาง ที่นอน หมอน มุ้ง เก้าอี้ ตะกร้า กระจาด กระด้ง แหวนรุ่นของบางคณะในจุฬาฯ ใบลงทะเบียนเรียนของจุฬาฯ ก็ยังมี- -

ยิ่งตอนนี้กำลังฮิตหน้ากากอนามัยป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 คุณป้าจีฉ่อยก็ยังมีขายกับเขาด้วย เคียงคู่สบู่เหลวล้างมือ

ตำนานของร้านนี้ว่ากันถึงขั้นหากใครหาซื้ออะไรที่ไหนไม่ได้ให้มาร้านจีฉ่อย คุณป้าจะจัดหามาให้ไม่มีพลาด ถ้าวันที่มาซื้อยังหาไม่ได้ประโยคฮิตติดปากของหญิงวัย 70 ผู้นี้คือ "พรุ่งนี้ลื้อมาเอา"

ชีวประวัติของจีฉ่อย-เจ้าของเอกลักษณ์ฟันทอง 2 ซี่ ค่อนข้างจะเป็นความลับ เพราะเจ้าตัวไม่ยอมปริปากบอกใครง่ายๆ หากไปถามกันตรงๆ มีแต่จะโดนไล่ตะเพิดออกจากร้าน แต่ถ้าวันไหนอารมณ์ดีจีฉ่อยถือโอกาสเล่าให้ฟังเองไม่ต้องไปอ้อนวอนกันให้ยาก

(ซ้ายบน) ยู เซ็นเตอร์ (ขวาบน) บริเวณที่เคยเป็นตลาดสามย่าน (ล่าง) ร้านค้าเริ่มย้ายออกจากตึกแถวริมถนนพญาไท



"พ่อจีฉ่อยทำงานธนาคาร ส่วนแม่ขายของ จีฉ่อยมีพี่น้อง 5 คน จีฉ่อยเป็นคนที่ 2 ฐานะทางบ้านถือว่าค่อนข้างดี หลายสิบปีก่อนพ่อจีฉ่อยถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 เลยแบ่งเงินมาเปิดร้านขายของชำ...เมื่อก่อนไม่ได้อยู่ตึกแถวตรงนี้หรอก แต่อยู่ลึกเข้าไปใกล้ๆ กับคณะนิติศาสตร์" เสียงบอกเล่าเล่าไปเรื่อยๆ

และราวกับคนฟังถูกหวยรางวัลที่ 1 เมื่อจีฉ่อยลุกขึ้นไปหยิบรูปถ่ายที่อยู่ในซองพลาสติคใสเอาออกมาให้ดูพร้อมบอกเล่าเรื่องราวในรูป เพราะโดยปกติแล้วเจ้าของร้านของชำผู้นี้ไม่มีชวนใครสนทนาง่ายๆ

"น้องสาวคนหนึ่งของจีฉ่อยเรียนจบด้านการเกษตรจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แล้วได้ทุนไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน และยังได้ทุนไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลียอีกด้วย ปัจจุบันน้องสาวเขารับราชการอยู่ที่กระทรวงเกษตรฯ หลังเลิกงานแล้วก็แวะมาหาที่ร้านเสมอๆ

"เมื่อก่อนสามย่านคึกคักมาก แต่พอมีห้างพวกนิสิตก็ไปเดินห้างกันหมด" จีฉ่อย เปิดฉากสนทนาถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

"เขาจะทุบตึกตรงนี้แล้วก็เสียดายสิ เพราะขายของและอาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งหลายสิบปีแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ไปปลูกบ้านอยู่แถวพระราม 2 พอเช้าก็มาเปิดร้าน มืดๆ ก็กลับบ้าน ตอนนี้หลายร้านบริเวณนี้ย้ายออกไปแล้ว ร้านจีฉ่อยก็ต้องย้ายออกไปบ้าง เขาจะรื้อแล้วนี่ อาจารย์และนิสิตจุฬาฯ ก็มาถาม จีฉ่อยจะยังขายของอยู่ไหม เพราะเป็นขวัญใจจุฬาฯ... เขาบอกว่าเราเป็นขวัญใจจุฬาฯ..." หญิงวัยเจ็ดสิบยิ้มกว้างเห็นฟันทอง

"เราก็บอกว่ายังขายของอยู่นั่นแหละ อาจารย์หลายคนเป็นห่วง เขาซื้อของกับจีฉ่อยมาตั้งแต่ยังเรียนหนังสืออยู่ จนใกล้เกษียณแล้วยังมาซื้ออยู่เลย" จีฉ่อยเล่าพลาง

มีเสียงร่ำลือว่ามีนิสิตหลายคนชอบมา "ลองของ" กับจีฉ่อย สั่งซื้ออะไรยากๆ แล้วจีฉ่อยสามารถหาให้ได้ภายในเวลาไม่กี่วัน ไม่ว่าเปียโน หรือข้าวมันไก่ เสียงคนนั่งฟังถามขึ้นมั่ง

"เขาคงฝันไปมั้ง" จีฉ่อยบอก

แม้จีฉ่อยจะไม่ได้ต้อนรับลูกค้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มตามฉบับยิ้มสยาม แต่ความเอาจริงเอาจังและซื่อสัตย์ จริงใจต่อลูกค้า ก็เป็นเสน่ห์ในการขายของจีฉ่อย ทำให้ชาวบ้านร้านตลาดย่านนั้นรวมถึงอาจารย์และนิสิตจุฬาฯติดอกติดใจ พากันมาซื้อของที่ร้านอยู่เป็นประจำ ครั้นเมื่อเกิดเรื่องราวทุบตึกทิ้งจึงกลายเป็นหัวข้อ "ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์" ของใครต่อใครที่รู้จักจีฉ่อย ซึ่งสำหรับเจ้าตัวแล้ว บอกว่า- -



"ไม่เป็นไรหรอก...จีฉ่อยยังขายของอยู่เหมือนเดิม แต่จะย้ายจากตรงนี้ขึ้นไปอยู่ที่ยู เซ็นเตอร์" เสียงจีฉ่อยบอก แล้วเล่ารายละเอียดให้ฟัง ว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่มาหา แล้วบอกให้เลือกเอาระหว่าง จามจุรี สแควร์ อาคารสูงหลายสิบชั้นซึ่งตั้งอยู่หัวมุมถนนพญาไทเยื้องกับร้านจีฉ่อยไปเล็กน้อย เป็นที่ตั้งของร้านค้า ที่พัก และอาคารสำนักงาน กับ ยู เซ็นเตอร์ ซึ่งอยู่ข้างๆ ตลาดสามย่านที่เพิ่งถูกรื้อไป เปิดเป็นหอพักสำหรับนิสิตจุฬาฯ และมีร้านค้าตั้งอยู่ชั้นล่าง

"สองแห่งนี้เขาให้จีฉ่อยเลือกว่าจะไปตั้งร้านขายอยู่ที่ไหน"

"แล้วจีฉ่อยเลือกไปไหน?" คนฟังถามอีก

"จีฉ่อยดูแล้วจามจุรี สแควร์ หรูเกินไป เข้าไปแล้วเดี๋ยวเดินไม่ถูก ไม่รู้จะเดินไปทางไหน เวลาจะเปิดจะปิดร้านก็ต้องตามเวลาเขา...ไม่สะดวกหรอก

"เลยบอกทางจุฬาฯไปว่า อย่างงั้นขอไปอยู่ ยู เซ็นเตอร์ ดีกว่า ปิดร้านดึกได้ แต่ก็เป็นร้านชั้นเดียวนะ ที่นี่มีตั้ง 4 ชั้น ยังไม่รู้เลยว่าจะขนของไปยังไง ตู้นี่ก็ไม่รู้จะเอาไปยังไง" เสียงเจ้าของร้านตอบ แล้วมองไปที่ตู้กระจก 2 ตู้หน้าร้านมีสินค้าสารพัดอยู่ข้างใน

เจ้าของร้านขวัญใจชาวจุฬาฯ หันกลับมาพยักพเยิดกับคนฟัง บอกเสียงดังกว่าปกติ ว่า- -

"จีฉ่อยจะย้ายไปอยู่ที่ใหม่ปลายปีนี้แหละ แล้วว่าจะทำป้ายชื่อร้านจีฉ่อยตัวใหญ่ๆ เขาจะได้รู้ว่าตัวจริงเสียงจริง" หญิงวัยเจ็ดสิบยิ้มกว้างถูกอกถูกใจ

เป็นอันว่า "จีฉ่อย" ขวัญใจชาวจุฬาฯ ยังไม่ปิดตำนาน แค่เพียงย้ายนิวาสถานจากริมถนนไปอยู่อาคารไฮโซเท่านั้นเอง



ลูกค้าขาประจำ"จีฉ่อย"

- กิตติ จิวโพธิ์เจริญ อายุ 26 ปี

นิสิตปริญญาโท คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ

"ได้ยินชื่อร้านจีฉ่อยตั้งแต่เรียนปริญญาตรีปี 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ แต่กว่าจะได้ไปซื้อของที่ร้านจีฉ่อยก็ตอนอยู่ปี 2 ตอนนั้นต้องใช้กระดาษโปสเตอร์ สเปรย์ คลิป เป็นอุปกรณ์ทำบอร์ดนิทรรศการ เพื่อนก็ชวนไปซื้อร้านจีฉ่อย เพราะเพื่อนบอกว่าร้านนี้มีทุกอย่าง พอเห็นร้านตอนแรกก็ตกใจเพราะไม่คิดว่าจะมีของเยอะขนาดนั้น...ทึ่งมาก สมคำเล่าลือจริงๆ...

"หน้าตาจีฉ่อยไม่ได้ยิ้มแย้มต้อนรับอะไรมาก แต่จีฉ่อยไม่ดุ มีจิตใจบริการมากๆ อย่างผมจะซื้อแม่กุญแจ จีฉ่อยถามว่าเอาไซซ์ไหน ก็บอกไปว่าขนาดกลางๆ ไม่ต้องใหญ่มาก จีฉ่อยก็หายเข้าไปในร้าน ให้ผมกับเพื่อนรออยู่ข้างนอก สักพักจีฉ่อยก็กลับออกมาพร้อมแม่กุญแจหลายขนาด และถ้าเราเลือกนาน จีฉ่อยก็ไม่หงุดหงิดใส่ลูกค้า...เลยเป็นลูกค้ากันมาตลอด

"ไม่เคยซื้ออะไรแล้วจีฉ่อยบอกว่าไม่มีนะครับ อาจเพราะผมไม่ได้ไปซื้ออะไรที่แปลกมาก"

ส่วนที่จีฉ่อยต้องย้ายร้านออกจากตึกแถวที่อยู่เดิมนั้น "ไม่อยากให้ย้ายไปอยู่ที่อื่น เพราะที่ตั้งเดิมทำเลดี ใครผ่านไปผ่านมาสามารถหาซื้อของได้สะดวก และหากย้ายไปที่ใหม่แล้วไม่รู้ว่าสินค้าจะมีมากเหมือนเดิมหรือเปล่า...

"ผมคิดว่าจีฉ่อยคือส่วนหนึ่งของจุฬาฯ อาจไม่ใช่ร้านที่ใหญ่โตแต่ก็ได้ใจนิสิตไปเต็มๆ"

- ภาณุวัฒน์ อภิวัฒนชัย อายุ 28 ปี

ศิษย์เก่าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ

"รู้จักร้านจีฉ่อยตั้งแต่ยังเด็กๆ เพราะบ้านอยู่แถวสามย่าน ตอนนั้นเคยซื้อของร้านจีฉ่อยอยู่บ้างแต่ไม่บ่อย มาซื้อมากขึ้นก็ช่วงที่เรียนปริญญาตรีคณะนิเทศศาสตร์ ยิ่งช่วงที่ทำกิจกรรมรับน้องและทำกิจกรรมของชมรมต้องอยู่มหาวิทยาลัยดึกๆ ไม่รู้จะไปหาซื้ออุปกรณ์ที่ไหนก็นึกถึงร้านจีฉ่อย ถ้าร้านปิดจะใช้วิธีไปเคาะประตูหลังร้าน สักพักหนึ่งจีฉ่อยจะลงมาเปิดประตูแล้วถาม "ลื้อจะเอาอะไร" แล้วไปหยิบมาให้ ไม่เคยมีสีหน้าหงุดหงิดหรือรำคาญแม้แต่น้อย

"เพื่อนส่วนใหญ่ในคณะก็ซื้อของร้านจีฉ่อย...ในกรณีที่ของหายาก หาที่ไหนแล้วไม่น่าจะมี จีฉ่อยจะเป็นทางเลือกแรก หรือบางครั้งซื้อของจากที่อื่นมาแล้วร้านจีฉ่อยไม่มีขาย จีฉ่อยจะถามว่าคืออะไร ขายยังไง ราคาเท่าไหร่ คิดว่าหลังจากนั้นจีฉ่อยอาจไปรับมาขายบ้างก็ได้

"เสน่ห์ของร้านจีฉ่อย ผมว่าอยู่ที่ความตั้งใจจริงในการขาย อย่างถ้าสินค้าที่ลูกค้าต้องการไม่มีหรือหมด จีฉ่อยจะบอกให้มาใหม่วันพรุ่งนี้แล้วก็ไม่ผิดหวัง หรือไม่ก็ถามว่าให้เอาตัวอื่นที่ใกล้เคียงไปแทนได้หรือเปล่า ของในร้านก็ราคาไม่แพง แถมยังสามารถต่อรองราคาได้ และยังอยู่ที่การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนขาย-คนซื้อ มีการพูดคุยทักทายกันไม่ใช่ซื้อของเสร็จแล้วก็จบ

"ผมมองว่าจีฉ่อยคือส่วนหนึ่งของสามย่าน และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเด็กจุฬาฯ มาหลายสิบปีแล้ว"


หน้า 20
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pra01280752&sectionid=0131&day=2009-07-28
                          

--
      Weblink
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เปิดมาสเตอร์แพลนรถไฟฟ้า12สาย ลงทุน 3 เฟส 20 ปี เงินลงทุน 8.3 แสนล้าน



วันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เวลา 09:01:24 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ [อ่านล่าสุด 1731 คน]

เปิดมาสเตอร์แพลนรถไฟฟ้า12สาย ลงทุน 3 เฟส 20 ปี เงินลงทุน 8.3 แสนล้าน

สนข.เปิดพิมพ์เขียวรถไฟฟ้า"รัฐบาลมาร์ก"12 สายละเอียดยิบครอบคลุมพื้นที่ในรัศมี 700 ตารางกิโลเมตร ลงทุน 3 เฟส 20ปี เงินลงทุน8.3แสนล้าน เผยโครงการเปลี่ยนแปลงไปจากแผนเดิม มีทั้งเป็นเส้นทางขีดขึ้นใหม่ ตัดตอน และต่อเติม

ภายในเดือนสิงหาคมนี้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จะเสนอแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑล ให้คณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ "รัฐบาลมาร์ค 1" พิจารณา โดยแผนแม่บทใหม่ล็อกระยะเวลาการพัฒนาไว้ 20 ปี ตั้งแต่ปี 2553-2572 ครอบคลุมพื้นที่ในรัศมี 700 ตารางกิโลเมตร เปลี่ยนแปลงไปจากแผนเดิม มีทั้งเป็นเส้นทางขีดขึ้นใหม่ ตัดตอนและต่อเติมจากเส้นทางเดิมให้สั้นลงและยืดออกไปชานเมืองมากขึ้น มีโครงข่ายทั้งหมด 12 สาย ระยะทางรวม 487 ก.ม. สถานี 311 สถานี เงินลงทุน 838,250 ล้านบาท

@เปิดโพย 12 เส้นทางใหม่

เที่ยวนี้ สนข.การันตีว่า จะไม่เปลี่ยนแปลงอีกแม้การเมืองผลัดใบ ประกอบด้วย
1.สีแดงเข้ม (ธรรมศาสตร์-บางซื่อ-หัวลำโพง-มหาชัย) 85.3 ก.ม. เงินลงทุน 147,750 ล้านบาท เป็นเส้นทางแนวเหนือ-ใต้ ตามแนวของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) มีช่วงบางซื่อ-รังสิต-ธรรมศาสตร์ ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง-บางบอน และช่วงบางบอน-มหาชัย

2.สีแดงอ่อน (ศาลายา-ตลิ่งชัน-บางซื่อ-มักกะสัน-หัวหมาก) 58.5 ก.ม. 86,340 ล้านบาท แนวตะวันออก-ตะวันตก ตามแนว ร.ฟ.ท. มีช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา ช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก และตลิ่งชัน-มักกะสัน

3.สีแดงเลือดหมู (แอร์พอร์ตลิงก์) จากพญาไท-มักกะสัน-สุวรรณภูมิ 28.5 ก.ม.  25,920 ล้านบาท
4.สีเขียวเข้ม (ลำลูกกา-หมอชิต-สมุทรปราการ-บางปู) 66.5 ก.ม. 102,420 ล้านบาท แนวเหนือ-ตะวันออก ตามแนวถนนพหลโยธินและสุขุมวิท มีช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ช่วงสะพานใหม่-คูคต-ลำลูกกา ช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง และแบริ่ง-สมุทรปราการ-บางปู

5.สีเขียวอ่อน (ยศเส-บางหว้า) 15.5 ก.ม. 15,130 ล้านบาท แนวตะวันตก-ใต้ ตามแนวถนนพระรามที่ 1 ถนนสาทร มีช่วงสะพานตากสิน-ถนนตากสิน ช่วงถนนตากสิน-บางหว้า และช่วงสนามกีฬา-ยศเส
6.สีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค-พุทธมณฑลสาย 4) 55 ก.ม. 93,100 ล้านบาท เป็นเส้นทางสายวงแหวนและแนวถนนเพชรเกษม มีช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ช่วงหัวลำโพง-ท่าพระ-บางแค และช่วงบางแค-พุทธมณฑลสาย 4

7.สีม่วง (บางใหญ่-ราษฎร์บูรณะ และแคราย-ปากเกร็ด) 49.8 ก.ม. 135,880 ล้านบาท เส้นทางหลักแนวเหนือ-ใต้ มีช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ช่วงบางซื่อ-ราษฎร์บูรณะ และแคราย-ปากเกร็ด 8.สีส้ม (บางบำหรุ-มีนบุรี) 32 ก.ม. 117,600 ล้านบาท เส้นทางหลักแนวตะวันออก-ตะวันตก มีช่วงบางบำหรุ-ศูนย์วัฒนธรรม ศูนย์วัฒนธรรม-บางกะปิ และบางกะปิ-มีนบุรี

9.สีชมพู (ปากเกร็ด-มีนบุรี) 29.9 ก.ม. 31,240 ล้านบาท รองรับศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ และการเติบโตทางด้านเหนือ เริ่มจากปากเกร็ด-วงเวียนหลักสี่-วงแหวนรอบนอก-มีนบุรี
10.สีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) 30.4 ก.ม. 38,120 ล้านบาท รองรับพื้นที่ย่านลาดพร้าว ศรีนครินทร์ และทางด้านตะวันออกของ กทม. เริ่มจากลาดพร้าว-พัฒนาการ-สำโรง

11.สีเทา (วัชรพล-สะพานพระราม 9) 26 ก.ม. 31,870 ล้านบาท รองรับพื้นที่ย่านสาธุประดิษฐ์และการโตทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของ กทม. เริ่มจากวัชรพล-ลาดพร้าว ช่วงลาดพร้าว-พระราม 4 และพระราม 4-สะพานพระราม 9
12.สีดำ (ดินแดง-สาทร) 9.5 ก.ม. 12,880 ล้านบาท รองรับย่านดินแดง ย่านมักกะสัน เริ่มจากช่วง กทม.2-ดินแดง-ศูนย์มักกะสัน-สาทร

@แบ่งการลงทุนเป็น 3 เฟส

ด้านการก่อสร้าง สนข.แบ่งเป็น 3 ระยะ นับตามปีเปิดบริการ คือระยะ 5 ปีแรก (2553-2557) เปิดบริการปี 2557 มี 5 สาย คือสีแดงเข้ม (บางซื่อ-รังสิต-ธรรมศาสตร์) 36.3 ก.ม. สร้างต้นปี 2553 สีเขียวเข้ม (หมอชิต-สะพานใหม่) 11.4 ก.ม. และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ 12.8 ก.ม. สร้างต้นปี 2554 สีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) 23 ก.ม. สร้างต้นปี 2553 สีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค) 27 ก.ม. สร้างกลางปี 2553

ระยะ 10 ปี (2553-2562) เปิดบริการปี 2562 มีสีแดงเข้ม (บางซื่อ-หัวลำโพง-บางบอน) 29 ก.ม. สีแดงอ่อน (บางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน) 9 ก.ม. และช่วงมักกะสัน-หัวหมาก 10 ก.ม. สร้างต้นปี 2555 ช่วงตลิ่งชัน-มักกะสัน 10.5 ก.ม. สร้างต้นปี 2558 ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา 14 ก.ม. สร้างต้นปี 2557 สีเขียวเข้ม (สะพานใหม่-คูคต) 7 ก.ม. สร้างต้นปี 2554 สีเขียวอ่อน (สนามกีฬา-ยศเส) 1 ก.ม. สร้างต้นปี 2556

สีม่วง (บางซื่อ-ราษฎร์บูรณะ) 19.8 ก.ม. สร้างต้นปี 2557 สีส้ม (บางบำหรุ-ศูนย์วัฒนธรรม) 12 ก.ม. สร้างต้นปี 2557 ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-บางกะปิ 9 ก.ม. และช่วงบางกะปิ-มีนบุรี สร้างต้นปี 2555 สีชมพู (ปากเกร็ด-หลักสี่) 12 ก.ม. และช่วงวงเวียนหลักสี่-วงแหวนรอบนอก 10.4 ก.ม. สร้างต้นปี 2555 และช่วงวงแหวนรอบนอก-มีนบุรี 7.5 ก.ม. สร้างต้นปี 2558

ระยะ 10 ปีหลัง (2562-2572) เปิดบริการปี 2572 มีสีแดงเข้ม (บางบอน-มหาชัย) 18 ก.ม. สร้างต้นปี 2559 สีน้ำเงิน (บางแค-พุทธมณฑลสาย 4) 8 ก.ม. สร้างต้นปี 2561 สีม่วง (แคราย-ปากเกร็ด) 7 ก.ม. สร้างกลางปี 2560 สีเหลือง (ลาดพร้าว-พัฒนาการ) 12.6 ก.ม. สร้างต้นปี 2563 ช่วงพัฒนาการ-สำโรง 17.8 ก.ม. สร้างต้นปี 2565

สีเทา (วัชรพล-ลาดพร้าว) 8 ก.ม. สร้างต้นปี 2568 ช่วงลาดพร้าว-พระราม 4 รวม 12 ก.ม. และพระราม 4-สะพานพระราม 9 ระยะทาง 6 ก.ม. สร้างต้นปี 2566 สีดำ (ดินแดง-มักกะสัน-สาทร) 9.5 ก.ม. สร้างต้นปี 2563 สีเขียวเข้ม (คูคต-ลำลูกกา) 6.5 ก.ม. สร้างต้นปี 2567 และช่วงสมุทรปราการ-บางปู 7 ก.ม. สร้างต้นปี 2569

                                     http://www.matichon.co.th/prachachat/news_detail.php?newsid=1248365436&grpid=01&catid=00

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.projectlib.in.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.nstda.or.th/th
http://www.arda.or.th
http://www.nppdo.go.th
http://www.tlcthai.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.oknation.net/blog/assistance
http://weblogcamp2009.blogspot.com/

เปิดกฎหมายฟอกเงินล่าสุด ′9 อาชีพ′แจ็กพอตต้องรายงานธุรกรรมกับ "ป.ป.ง."



 



วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เวลา 18:09:56 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ [อ่านล่าสุด 2870 คน]

เปิดกฎหมายฟอกเงินล่าสุด ′9 อาชีพ′แจ็กพอตต้องรายงานธุรกรรมกับ "ป.ป.ง."

ประกาศในราชกิจจาฯแล้วกฎหมายฟอกเงินของป.ป.ง. ฉบับแก้ไขใหม่ล่าสุด ระบุชัด9 วิชาชีพต้องรายงานธุรกรรมต่อป.ป.ง. กรณีมีเงินสดเกินกว่ากฎหมายกำหนด หรือมีธุรกรรมอันควรสงสัย ทั้งขายเพชร ขายทอง เช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล นายหน้าอสังหาฯ ค้าของเก่า ฯลฯ มีผลบังคับใช้ 22 ต.ค.2552

     ผู้สื่อข่าว ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า วันนี้ (  22 กรกฎาคม 2552 ) พระราชบัญญัติ  ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 3)  พ.ศ. 2552 ได้ประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา แล้ว
    สาระสำคัญของการแก้ไขพ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ครั้งใหม่ล่าสุด คือ การกำหนดให้ผู้ประกอบอาชีพ 9 ประเภท  มีหน้าที่ต้องรายงานการทำธุรกรรมต่อสำนักงานป.ป.ง.  ในกรณีเป็นธุรกรรมที่ใช้เงินสดมีจำนวนเกินกว่าที่กำหนดในกฎกระทรวง หรือเป็นธุรกรรมที่มีเหตุ อันควรสงสัย
    ผู้ประกอบวิชาชีพ 9 ประเภท ประกอบด้วย
 (1) ผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับการดำเนินการ การให้คำแนะนำ หรือการเป็นที่ปรึกษาในการทำธุรกรรมที่เกี่ยวกับการลงทุนหรือการเคลื่อนย้ายเงินทุนตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ไม่ใช่สถาบันการเงินตามมาตรา 13
(2) ผู้ประกอบอาชีพค้าอัญมณี เพชรพลอย ทองคำ หรือเครื่องประดับที่ประดับด้วยอัญมณีเพชรพลอย หรือทองคำ
(3) ผู้ประกอบอาชีพค้าหรือให้เช่าซื้อรถยนต์
(4) ผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับนายหน้าหรือตัวแทนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
(5) ผู้ประกอบอาชีพค้าของเก่าตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า
(6) ผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงินตามประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับหรือตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
(7) ผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่มิใช่สถาบันการเงินตามประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
(8) ผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับบัตรเครดิตที่มิใช่สถาบันการเงินตามประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต หรือตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
(9) ผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุม ดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
     ทั้งนี้ ผู้ประกอบอาชีพตาม (2) (3) (4) และ (5) ต้องเป็นนิติบุคคล เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยที่มีพยานหลักฐานอันสมควรว่ามีการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องหรืออาจเกี่ยวข้องกับการ กระทำความผิดมูลฐานหรือความผิดฐานฟอกเงินกับผู้ประกอบอาชีพตาม (2) (3) (4) และ (5) ที่มิได้เป็นนิติบุคคล ให้สำนักงานป.ป.ง.มีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบอาชีพดังกล่าวรายงานการทำธุรกรรมต่อสำนักงาน
  นอกจากนี้ ยังแก้ไข เพิ่มเติมกฎหมายให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพทั้ง 9 ประเภท  จัดให้ลูกค้าแสดงตนทุกครั้ง ก่อนการทำธุรกรรมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งต้องกำหนดมาตรการเพื่อขจัดอุปสรรคในการแสดงตน ของคนพิการหรือทุพพลภาพด้วย เว้นแต่ลูกค้าได้แสดงตนไว้ก่อนแล้ว
    ผู้ใด ฝ่าฝืน ต้องระวางโทษ ปรับไม่เกินห้าแสนบาท และปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่ หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง"
    ทั้งนี้ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 120 นับแต่วันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป หรือ วันที่ 22 ตุลาคม 2552

                                       http://www.matichon.co.th/prachachat/news_detail.php?newsid=1248261110&grpid=01&catid=00

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตในลอนดอนของ 'เจ๊หมวย'

ชีวิตในลอนดอนของ 'เจ๊หมวย'

วันอาทิตย์ ที่ 26 กรกฎาคม 2552 เวลา 0:00 น

  

'แสงจันทร์ จันทสกุล' 'เจ้าแม่โชห่วย' สารพัดนึก

“ไม่มีคนไทย ไม่มีนักเรียนไทยคนไหนที่มาอาศัยอยู่ที่อังกฤษ โดยเฉพาะในลอนดอน ไม่รู้จัก  เจ๊หมวย แกเป็นเหมือนยาสามัญประจำบ้าน อยากได้อะไร ไม่มีทางที่เจ๊หมวยจัดให้ไม่ได้” ...เป็นคำยืนยันถึงกิตติศัพท์ของ “เจ๊หมวย” หญิงไทยที่ไปทำอาชีพค้าขายอยู่ในลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเจ๊หมวยคนนี้มองผิวเผินก็ดูจะเป็นเพียงแม่ค้าร้านโชห่วย แต่ลึก ๆ แล้วเรื่องราวระหว่างบรรทัดบนสมุดชีวิตของผู้หญิงคนนี้น่าสนใจทีเดียว ลองมาดูชีวิตผู้หญิงไทยแกร่งในต่างแดนที่ชื่อ “เจ๊หมวย-แสงจันทร์ จันทสกุล” คนนี้...

“ถ้าจะถามว่าชีวิตต่างแดนลำบากไหม ตอบไม่ได้หรอก เพราะชีวิตเราลำบากมาตลอด แต่ถ้าถามว่าถึงกับทำให้ทุกข์ร้อนอะไรไหม ตอบได้อย่างเต็มปากว่าไม่ เพราะเราเลือกที่จะมาทางนี้” ...เจ้าของวิถีชีวิตรายนี้บอก ก่อนจะเล่าให้เราฟังว่า มาลงหลักปักฐานที่อังกฤษเมื่อตอนอายุไม่น้อยแล้ว โดยเดินทางมาถึงตอนอายุ 35 ปี จากคำชักชวนของน้องชาย ซึ่งกับจุดเปลี่ยนที่พลิกผันชีวิตนั้น เดิมทีที่บ้านยึดอาชีพขายกวยจั๊บที่ตลาดกล้วยน้ำไท ตอนหลังถูกไล่ที่ จึงหันไปเรียนเสริมสวย ยึดอาชีพทำผม เปิดร้านอยู่ย่านจุฬาฯ และอีกแห่งเปิดไว้แถวย่านสวนหลวง ยึดอาชีพทำผมอยู่ได้สัก 10 ปีก็ถูกเวนคืนที่ จึงรู้สึก เบื่อ พอดีช่วงนั้นน้องชายซึ่งอยู่ที่อังกฤษโทรฯ ชวนให้ไปเที่ยว คิดไม่นานก็ตัดสินใจไป โดยไม่คิดมาก่อนว่าจะลงหลักปักฐานจนถึงปัจจุบัน
   
“ไม่คิดหรอกว่าเราจะมาอยู่นี่ เราเองเรียนจบแค่ ป.7 ความรู้ก็ไม่มี จริง ๆ ช่วงนั้นก็มีคนรู้จักมาชวนให้ไปทำผมที่อเมริกา บอกว่าจะให้หลายหมื่น เรามาคิดว่าอยู่เมืองไทยเงินจำนวนนี้เราก็หาได้ เลยตัดสินใจไม่ไป แล้วก็หอบกระเป๋ามาที่อังกฤษดีกว่า มาเปิดหูเปิดตาบ้าง”
   
เจ๊หมวยบอกว่า  3-4 เดือนแรก ไม่ได้ทำอะไร เพราะถูกน้องชายจับให้เรียนภาษา ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชีวิตเธอมาก เธอบอกว่าต้องไปนั่งเรียนคู่กับคนจบปริญญาตรี แรกที่เรียนก็มักจะตามไม่ค่อยทันคนอื่น ๆ เมื่อกลับมานั่งเล่าให้น้องชายฟัง น้องชายเธอก็บอกว่าไม่ภูมิใจเหรอ จบแค่ ป.7 แต่ได้เรียนคู่กับคนจบปริญญาเลย ตอนนั้นท้อมาก คิดว่าไม่ไหว ต่อมาก็คิดว่าเราคงไม่มีอะไรเสีย ก็เลยฮึดสู้ ซึ่งถึงวันนี้เจ๊หมวยยอมรับว่าไม่ได้เก่งกาจภาษาอะไร ก็แค่ใช้ในการเอาตัวรอด แต่ที่มีวันนี้ได้คงเป็นเพราะความกล้าพูด ซึมซับไปเรื่อย ๆ
   
กับจุดเริ่มต้นธุรกิจในลอนดอน เจ๊หมวยเล่าว่าตอนที่เรียนภาษาอยู่นั้น นึกไปนึกมาว่าจะไม่เอาแล้วอาชีพทำผม แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่อาชีพเก่าอยู่ดี โดยหลังจากอยู่ได้ระยะหนึ่งก็มีคนมาตามให้ไปเดินตัดผมให้ลูกค้าตามบ้าน ทำได้ 2 ปี พอมีเงินเก็บ ก็เลยลงทุนเปิดร้านอาหารไทย จากนั้นอีก 6 เดือนก็เปิดร้านทำผมเพิ่มอีก เปิดร้านทำผมได้ราว 7 ปี ร้านก็ถูกไฟไหม้ ตอนนั้นตกงานไปเต็ม ๆ เกือบ 1 ปี แต่โชคดีที่ทำประกันไว้ ก็ได้เงินคืนกลับมาก้อนหนึ่ง ก็เลยคิดจะทำร้านขึ้นมาใหม่ แต่หันมาเปิด “ร้านโชห่วย” ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001
   
ปัจจุบันเจ๊หมวยมีธุรกิจทั้งโชห่วย ซูเปอร์มาร์  เกต ร้านอาหาร รวมถึงร้านตัดผมหลายสาขา อาทิ ร้าน อาร์ตหมวย (Art Muay) ซึ่งเป็นจุดกำเนิดร้านแรกบนถนนโฮการ์ด กับร้านอาหารไทยกรุงเทพ ถนนบรอมพ์ตัน ย่านเอิร์ลคอร์ท, ตลาดแม่กิมเอ็ง แถว ๆ ย่านเฟรมเลน ฟูแลม รวมถึงร้านตัดผมอีก 2 สาขาในชื่อหมวยแฮร์คัท ถนนบรอมพ์ตัน และถนนเคนเวย์ ในแถบเอิร์ลคอร์ท ซึ่งก็ต้องถือว่าไม่ธรรมดา กับผู้หญิงที่จบเพียงแค่ชั้น ป.7 และกับร้านต้นกำเนิดอย่างร้านอาร์ทหมวย  เจ๊หมวยบอกว่าใหม่ ๆ คนมักคิดว่าเป็นค่ายมวย จากชื่อที่ใช้
   
นอกจากชื่อจะแปลกแล้ว ความสารพัดของสินค้า อย่างที่เปรียบเปรยกันว่าตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ก็เป็นที่โจษจันกันในหมู่คนไทยในลอนดอน ว่าไม่มีอะไรที่หาให้ไม่ได้ ซึ่งเธอบอกว่าคิดเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนจะทำร้าน
   
“ถามว่าทำไมต้องขนาดนี้ เราคิดว่าถ้าคิดจะขายของก็ต้องแบบนี้ ไม่งั้นคุณจะไม่ได้เงินจากใครเลย เราก็คิดว่าถ้าจะเปิดซูเปอร์มาร์เกตมันก็มีเยอะแล้ว ก็คิดว่าถ้าจะเปิดต้องไม่เหมือนใคร ก็เลยนำพวกผักพื้นบ้านเข้ามาขาย ซึ่งร้านอื่นไม่มี ตรงนี้มันเริ่มจากความยากและหาของไทยมาทำกินลำบากของเรา ก็เลยเข้าใจว่าคนไทยที่มาอยู่  นาน ๆ บางทีก็อยากจะกินของไทยบ้าง จากจุดนั้นก็ขยับขยายมาเรื่อย ๆ จนวันนี้ชุดสังฆทาน ผ้าไตร สบง อังสะ มีหมด จนน้องเราตั้งชื่อร้านให้ว่าร้านเจ๊หมวยสารพัดนึก และตอนนี้ก็กำลังจัดทัวร์อยู่ด้วย ที่มาคือสมัยก่อนแม่เรา  มา ไม่มีที่เที่ยว เราต้องจ้างรถแวนเล็ก ๆ วันละ 200- 300 ปอนด์ 2 อาทิตย์พาไปทีหนึ่ง ตอนหลังมีคนฝากคนแก่มาด้วยมากเข้า ก็เลยเอางี้ จัดเป็นทัวร์เลยดีไหม ก็กลายเป็นทำทัวร์เพิ่มอีกหนึ่งอย่าง”
   
ที่ร้านเจ๊หมวยนอกจากจะเป็นแหล่งรวมวัตถุดิบอาหารไทย สินค้าไทย และบริการอีกร้อยแปดพันเก้าแล้ว ก็ยังเป็นแหล่งนัดพบ แหล่งหางาน-จ้างงาน-บอกข่าว-ประชาสัมพันธ์ของคนไทยด้วย บางครั้งร้านเจ๊หมวยก็ยังกลายเป็นสภากาแฟที่คนไทยที่ผ่านไปมามักแวะเวียนเข้ามาพูดคุยเสมอ ๆ ซึ่งเจ๊หมวยเล่าว่า เริ่มต้น มาจากบางทีคนที่มาอยู่ใหม่ ๆ คิดอะไรไม่ออก หรือบางทีอยากได้งานก็จะบอกให้จดชื่อไว้ ถ้ามีคนต้องการจะบอกให้
   
“เสน่ห์ของร้านคือ คนไทยมีที่สุมหัวกัน (หัวเราะ) ได้พูดคุยกัน ได้ปะทะกันบ้าง บางทีอยู่กันเป็นเพื่อน แต่ก็มีวันที่เงียบ ๆ เฉพาะวันที่เราไม่อยู่ น้องชายถึง กับสั่งเลยว่าถ้าเราไปไหน ห้ามบอกใครเลย เพราะวันนั้นทั้งวัน ร้านจะเงียบเหงาไปเลย น้องชายบอกเจ๊ไม่อยู่ลูกค้าหายหมด”
   
ตัดกลับมาที่เมืองไทย ยุคที่ร้านโชห่วยชุมชนกำลังเกิดวิกฤติ เจ๊หมวยบอกว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เป็นสิ่งน่าเสียดาย เพราะเสน่ห์ของร้านโชห่วยไทย ร้านค้าปลีกของฝรั่งสู้ไม่ได้ในเรื่องของมิตรภาพ เพราะทุกอย่างเป็นระบบมากไปหมด คนขายก็เป็นแค่พนักงาน ลูกจ้าง แต่กับร้านโชห่วยซื้อขายกันแบบพี่ แบบเพื่อน แม้ของจะมีไม่มากเท่า แต่การได้พบปะแลกเปลี่ยนพูดคุยกันก็เป็นความสุขที่ตีราคาไม่ได้ ยิ่งต่างบ้านต่างเมืองยิ่งไม่ต้องพูดถึง
   
เราถามทิ้งท้ายว่ายังมีอะไรที่อยากทำอีก ? เจ๊หมวยบอกว่า “ไม่รู้อนาคต แต่ก็คงทำไปเรื่อย ๆ เพราะเป็นคนไม่ชอบอยู่กับที่ และโชคดีที่เป็นคนโสด ไม่มีครอบครัว ทำให้คิดจะทำอะไร นึกอยากจะไปไหน ก็ทำได้โดยสะดวก ชอบชีวิตแบบนี้ เพราะไม่ต้องรับผิดชอบใคร ไม่ชอบดูแลคน อยู่แบบนี้เบา ๆ ตัวดี”
   
และทั้งหมดนี้ก็คือบางเศษเสี้ยวของหญิงไทยคนเก่งคนหนึ่งที่ออกไปใช้ชีวิตในต่างแดน “เจ๊หมวย-แสงจันทร์ จันทสกุล” เจ้าของฉายา “เจ๊สารพัดนึก” ของคนไทยในลอนดอน.

'รับจ้างแก้ผ้า'

ด้วยความที่ร้านเจ๊หมวยเป็นแหล่งรวมคนไทย ทำให้หน้าร้านกลายเป็น “ป้ายประกาศ” ขนาดใหญ่ที่ใคร ๆ ก็มักจะมาขอปิดประกาศเพื่อบอกกล่าวเล่าสู่สิ่งที่ต้องการประชาสัมพันธ์ และด้วยเหตุที่ร้านเจ๊หมวยรับทำสารพัดอย่าง ก็เผอิญมีป้ายประกาศหนึ่งสะดุดพระเนตร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จนนำมาซึ่งความปลื้มปีติอย่างล้นพ้นของตัวเจ๊หมวยมาจนถึงทุกวันนี้ โดยเจ๊หมวยเล่าว่า...
   
“เป็นป้ายที่เราเขียนว่า รับจ้างแก้ผ้า ก็คือเขียนเป็นคำพูด วันหนึ่งเด็กที่ร้านก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งลงจากรถมา เด็กเขามองแล้วคิดว่าผู้หญิงคนนี้เหมือนเคยเห็นที่ไหน คุ้น ๆ พอผู้หญิงคนนั้นขึ้นรถไปแล้ว เด็กนึกออกก็ตกใจแล้ววิ่งมาบอก ว่านั่นสมเด็จพระเทพฯ ซึ่งจริง ๆ ท่านเสด็จฯ มารอบหนึ่งแล้วเพื่อทรงถ่ายรูปป้ายนี้ แต่รู้สึกว่ารูปจะไม่ชัด รถสถานทูตจึงวนกลับมาอีกครั้ง และภายหลังพอพระองค์ท่านเสด็จฯ มาลอนดอนอีกครั้ง ทางสถานทูตก็ส่งหนังสือมาบอกว่าพระองค์ท่านทรงอยากเจอเจ้าของป้าย ก็เลยได้เข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่าน ซึ่งรู้สึกปลื้มปีติมาก เรื่องนี้คุณดำรง (พุฒตาล) ก็เคยนำไปเขียนในหนังสือคู่สร้างคู่สมมาครั้งหนึ่ง คือแกขำ ๆ ว่าเออ...อาชีพรับจ้างแก้ผ้าก็มีนะ อยากรู้ต้องไปขอให้เจ๊หมวยทำให้ดู”.

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน

 

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

บัญญัติ 10 ประการสำหรับการตั้งชื่อบริษัท

นวัตกรรมดองไข่แดงเค็มทันใจ / สอยจากหิ้ง
http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9520000080979

ศิริวัฒน์แซนด์วิช นักสู้ผู้ไม่แพ้ / คมคิด ฝ่าวิกฤต
http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9520000075266
 
บัญญัติ 10 ประการสำหรับการตั้งชื่อบริษัท
http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9520000077149

ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
 
 
 
 
 




ด้วย Windows Live คุณสามารถจัดการ แก้ไข และ แบ่งปันภาพถ่ายของคุณ

“Thai Organic Farm" ต่อยอดผักปลอดสาร จับ ‘ข้าวอินทรีย์’ ผลิต ‘น้ำส้มสายชู’ รายแรก

"Thai Organic Farm" ต่อยอดผักปลอดสาร จับ 'ข้าวอินทรีย์' ผลิต 'น้ำส้มสายชู' รายแรก
http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9520000066497

ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com

 
 
 
 
 




ด้วย Windows Live คุณสามารถจัดการ แก้ไข และ แบ่งปันภาพถ่ายของคุณ

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สรุปการประชุมอาเซี่ยน



Please visit blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.parent-youth.net
http://www.thaihof.org
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.truecorp.co.th
http://www.industry4u.com
http://logistics.dpim.go.th
http://weblogcamp2009.blogspot.com

--- On Thu, 7/23/09, JeaB <kwanruthai@dpiap.org> wrote:

From: JeaB <kwanruthai@dpiap.org>
Subject: สรุปการประชุมอาเซี่ยน
To: 
Date: Thursday, July 23, 2009, 7:35 AM

ประชุมกรมอาเซียน (๑๗ ก.ค. ๕๒ – ๑๔.๐๐ น.)

-          มูลนิธิศักยภาพชุมชนและหน่วยงาน CSOs อื่น ๆ ร่วมกันจัดทำแผนสังคมวัฒนธรรม และจะนำเสนอต่อกรมอาเซียน รูปแบบการทำงานเป็นลักษณะของคณะกรรมการชาติชุดใหญ่ และมีชุดย่อย ๆ ตามประเด็นต่าง ๆ องค์กรที่อยู่ในแผนนี้รวมถึง DPI/AP และ Forum-Asia ด้วย

-          ตอนนี้หน่วยงาน CSOs ต่าง ๆ กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดงาน ASEAN Summit ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ได้รับเงินสนับสนุนจากกรมอาเซียนประมาณ 2.8 ล้านบาท รวมถึงต้องหาจากที่อื่นด้วย

-          ในงาน ASEAN Summit จะไม่ใช้รูปแบบการจัดงานแบบคู่ขนาน (Concurrent sessions) เนื่องจากไม่มีใครสนใจประเด็นของใคร จึงเสนอให้จัดแบบรวม โดยวันแรกจะเป็นการนำเสนอของ CSOs วันที่สองจะเป็นของ CSOs+GOs และวันสุดท้ายสรุป พี่ตี่จะเสนอให้เพิ่มเป็น 4 เสา โดยเพิ่มเสาสิ่งแวดล้อมไปด้วย วันที่ 29 ก.ค. นี้จะมีการนัดประชุมอีกครั้ง

-          ผมได้นำเสนอในที่ประชุมว่า ในส่วนของกลุ่มคนพิการ เราจะร่วมขับเคลื่อนไปพร้อม ๆ กับ CSOs อื่น ๆ เช่น ของมูลนิธิศักยภาพชุมชน เพื่อนำประเด็นปัญหาของคนพิการเข้าไปอยู่ในกระแสหลัก ในขณะเดียวกัน ในอาเซียนเองก็ควรมีการทำงานในประเด็นความพิการที่ชัดเจนขึ้น เพราะคนพิการในอาเซียนมีเกือบนับร้อยล้านคน (คนในที่ประชุมประหลาดในพอสมควร ไม่คิดว่าคนพิการจะมีจำนวนมากขนาดนี้) และถูกติดสิทธิ์จากทุกอย่าง เพียงแค่ออกจากบ้านไม่ได้ สิทธิทุกอย่างก็จะถูกตัดไปโดยปริยาย เป็นปัญหาเรื้อรังที่เป็นสนิมกัดกร่อนสังคม เราจึงควรมีการเคลื่อนไหวอย่างจริงจัง ยกตัวอย่างในสหภาพยุโรปที่มี Disability forum เราก็ควรจะมี Disability Forum ใน ASEAN ด้วย และอาจพัฒนาต่อไปเป็น Disability Commission ทุกคนยินดีให้การสนับสนุน

-          คุณสิรินแจ้งว่าได้รับจดหมายทั้งสามฉบับแล้ว จะนำเสนอต่อท่านอธิบดีให้เร็วที่สุด

ประชุมที่ APCD เรื่องทิศทางการทำงานของศูนย์ภายใต้มูลนิธิ (20 ก.ค. 52)

-          ตั้งเป้าหมายในการเป็นองค์กรระหว่างประเทศ โดยที่ผ่านมา APCD ประสบปัญหาในด้านสถานะขององค์กร และเนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐ จึงทำให้การทำงานไม่เป็น International เท่าที่ควร จึงตั้งเป้าไว้ว่าจะสามารถเป็นองค์กรระหว่างประเทศได้ และควรจะต้องมีคนทำงานที่มาจากต่างประเทศด้วย

-          การทำงานของ APCD ในช่วงระยะแรก จะเน้นประเด็น (Issue-based) แต่ระยะที่สองเน้นกลุ่มเป้าหมายเฉพาะความพิการ (target-based) ควรให้มีการบูรณาการทั้งสองรูปแบบการทำงานเข้าด้วยกัน ไม่ควรเน้นด้านใดด้านหนึ่งและตัดขาดด้านหนึ่งไป

-          องค์กรประสานงานทั้งภาครัฐและองค์กรคนพิการที่ผ่านมาทำงานกับ APCD ในลักษณะพึ่งพิงมากเกินไป ไม่มีส่วนร่วมในการจัดวางแผนหรือนโยบายของ APCD และไม่แบ่งปันทรัพยากรกัน

-          ที่ผ่านมา APCD ทำงานตาม BMF ได้น้อย ไม่ครบทุกด้าน

-          ต้องสื่อให้แต่ละประเทศเห็นว่า APCD เป็นของทุกประเทศ ไม่ได้ให้ประโยชน์เฉพาะคนไทย

-          ผมได้นำเสนอให้ APCD ทำงานในระดับอนุภูมิภาคมากขึ้น เช่น กับ ASEAN, Pacific Disability Forum ฯลฯ และควรส่งเสริมให้แต่ละอนุภูมิภาคมี Disability Forum เพื่อเป็นหน่วยงานประสานงานของ APCD ลดการร่วมงานกับประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะลง เพราะไม่สามารถทำได้ทั้งหมดทุกประเทศอยู่แล้ว รวมทั้ง APCD ควรมีบทบาทในระดับภูมิภาคหรือสากลมากขึ้น ไม่ใช่แค่การไปร่วมงาน แต่ควรเป็นลักษณะของการเป็น partnership และร่วมกันทำงานกับองค์กรอื่น ๆ (ที่อาจจะมีหรือไม่มีประเด็นความพิการ—แต่รวมเรื่องคนพิการเข้าไป) เพื่อเปิดพื้นที่การทำงานให้กว้างขึ้น และจะทำให้ได้รับการยอมรับมากขึ้นในระดับนั้น และจะทำให้ทำกิจกรรม Fundraising ได้ง่ายขึ้นด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณสว่าง ศรีสม รองหัวหน้าสำนักงานองค์การคนพิการสากลประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

 

 

ขออภัยหากอีเมลฉบับนี้เป็นการรบกวน หรือส่งซ้ำ

 

 

ขวัญฤทัย  สว่างศรี

ผู้ประสานงานโครงการในประเทศ

องค์การคนพิการสากลประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

29/486 หมู่ 9 ซอย12 เมืองทองธานี

ต.บางพูด  อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120

โทรศัพท์ 02 - 5034268 โทรสาร 02- 5034269

มือถือ 086 6222602

Email : kwanruthai@dpiap.org , iam_jeabja@hotmail.com

Website: http://www.dpiap.org/

 

 

 

 

 

 

 

 

 


วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เฮ! "คลัง"ยกเว้น"หักภาษี" ณ ที่จ่ายผู้ฝากเงินออมทรัพย์ "ดบ."ไม่เกิน2หมื่นต่อปี ครอบคลุม 62 ล้านบัญชี

วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เวลา 20:13:08 น.  มติชนออนไลน์

เฮ! "คลัง"ยกเว้น"หักภาษี" ณ ที่จ่ายผู้ฝากเงินออมทรัพย์ "ดบ."ไม่เกิน2หมื่นต่อปี ครอบคลุม 62 ล้านบัญชี

คลังประกาศยกเว้น"หักภาษี" ณ จ่ายให้ผู้ฝากเงินบัญชีออมทรัพย์ ดบ.ไม่เกิน 2 หมื่น/ปี ครอบคลุม 62 ล้านบัญชี ชี้กระทบฐานะการคลังแค่ 400 ล้าน "สามสี"เข้าพบนายกฯ แนะวิธีสู้ ศก. อัดเงินกู้ 4 แสนล้าน

นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมว่า กระทรวงการคลังออกประกาศกรมสรรพากรยกเว้นการหักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับเงินฝากออมทรัพย์รายบัญชีเงินฝาก ที่มีรายได้ดอกเบี้ยไม่เกินปีละ 20,000 บาท ทุกธนาคารทั่วประเทศ มีผลตั้งแต่วันเดียวกันนี้ ซึ่งจะครอบคลุมเงินฝากออมทรัพย์ 62 ล้านบัญชี เป็นเม็ดเงินรวม 1.5 ล้านล้านบาท ขณะที่ผู้มีเงินฝากออมทรัพย์หลายบัญชี หากได้ดอกเบี้ยรวมกันแล้วเกิน 20,000 บาท มีหน้าที่แจ้งธนาคารแต่ละแห่งให้หักภาษี ณ ที่จ่าย หรือจะรวมยอดทั้งปีในช่วงยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็ได้


"เกณฑ์ดังกล่าวเป็นสิทธิประโยชน์เดิมที่รัฐบาลให้กับผู้ฝากเงินออมทรัพย์มาตั้งแต่ปี 2538 แต่ในทางปฏิบัติไม่เกิดขึ้นจริง เนื่องจากธนาคารมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย เมื่อมีการจ่ายดอกเบี้ยอยู่แล้ว เพราะไม่สามารถรู้ได้ว่า มีใครบ้างที่ขอคืนภาษี ซึ่งในแต่ละปีรัฐจะมีรายได้จากส่วนนี้ประมาณ 300-400 ล้านบาท ที่ธนาคารพาณิชย์หักภาษี ณ ที่จ่ายและส่งเงินให้สรรพากร ซึ่งสรรพากรเองไม่ได้ติดใจตรงส่วนนี้ เพราะถือว่าธนาคารพาณิชย์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอยู่แล้ว" นายกรณ์ กล่าว


นายกรณ์ กล่าวถึงกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้ยกเว้นภาษีจากรายได้ดอกเบี้ยออมทรัพย์ที่ไม่เกิน 100,000 บาท ว่า ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็น เนื่องจากการแก้ไขประกาศสรรพากรที่ยกเว้นหักภาษี ณ ที่จ่าย บัญชีออมทรัพย์ที่มีรายได้ดอกเบี้ยไม่เกิน 20,000 บาท นั้นมีผลกว้างกว่า ครอบคลุมบัญชีออมทรัพย์ถึง 62 ล้านบัญชี จากจำนวนบัญชีออมทรัพย์ทั้งหมด 63 ล้านบัญชี ซึ่งหากประเมินจากดอกเบี้ยบัญชีออมทรัพย์ปัจจุบันที่ 1% กรณีที่จะได้สิทธิยกเว้นจะต้องมีเงินฝากออมทรัพย์แต่ละบัญชีประมาณ 4 ล้านบาท และที่สำคัญไม่ต้องแก้ไขประมวลกฎหมายรัษฎากร เพราะเป็นเกณฑ์เดิมที่มีอยู่แล้ว เพียงแต่ออกประกาศให้เกิดความชัดเจนและปฏิบัติได้จริง


สำหรับผลกระทบต่อฐานะการคลัง นายกรณ์กล่าวว่า เงินภาษีที่เก็บได้ดังกล่าวไม่มาก เพียงปีละ 300-400 ล้านบาท แต่หากเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ น่าจะบรรเทาปัญหาของคนที่อาศัยรายได้จากดอกเบี้ยได้มากกว่า


ขณะที่นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 13.00 น. จากนั้นให้สัมภาษณ์ว่า เข้าหารือนโยบายการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ร่วมกับนายกฯ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี และนายกรณ์ โดยแนะนำบางอย่างไปในฐานะนักวิชาการว่า นโยบายอะไรควรทำก่อนทำหลัง แต่ไม่ได้แนะนำว่าให้ออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจใดๆ มาอีก


นายไตรรงค์ กล่าวว่า นโยบายรัฐบาลขณะนี้หลายตัวก็เริ่มผลแล้ว ทั้งการใช้น้ำไฟฟรี เรียนฟรี แต่การใช้เงินกู้ 4 แสนล้านบาท จากนี้ไปตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสอง ควรจะเน้นไปที่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ๆ เพื่อให้ประเทศมีศักยภาพสูงขึ้น ไว้รอเก็บเกี่ยวผลหลังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวในปีหน้า ทั้งโครงการรถไฟรางคู่ ท่อเรือน้ำลึก และปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่เสื่อมโทรม ซึ่งจะนำรายได้มหาศาลเข้าสู่ประเทศ


"สาเหตุที่เศรษฐกิจในประเทศขณะนี้ยังถดถอยอยู่ เพราะเศรษฐกิจโลกยังไม่พ้นแฮมเบอเกอร์ไครซิส ทำให้การส่งออกของเราลดลงถึง 30% จนมีคนตกงานจำนวนมากและไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอย ไม่มีทุกสิ่งที่ไหนจะแก้ปัญหาขณะนี้ได้ เพราะไทยเป็นแค่รัฐบาลเล็กๆ เราเพียงแค่รักษาสถานภาพของประเทศไว้ ทานกระแสโลกให้ตกต่ำน้อยที่สุด ปัญหาขณะนี้แม้แต่บารัค โอบามา มาเป็นนายกฯไทยเอง ก็แก้ไม่ได้" นายไตรรงค์กล่าว


นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) โดยที่ประชุมเห็นชอบหลักเกณฑ์ และแนวทางทบทวนแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด การจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัด/กลุ่มจังหวัดประจำปีงบประมาณ 2554 โดยโครงการที่จะเสนอของบจังหวัด/กลุ่มจังหวัดได้ต้องสอดคล้องกับเกณฑ์ ดังนี้


1.เป็นโครงการที่สอดคล้องกับเป้าหมายของแผนปฏิบัติราชการจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.เป็นโครงการที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น หรือเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด 3.ความเป็นไปได้ของโครงการ และ 4.ความคุ้มค่าของโครงการทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติ และความมั่นคง


ด้านนายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ.กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2554 รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณให้จังหวัด/กลุ่มจังหวัด 1.8 หมื่นล้านบาท แบ่งออกมาเป็น 2 ส่วนคือ งบฯ ที่จัดสรรลงไปที่จังหวัด/กลุ่มจังหวัดโดยตรงเพื่อให้ดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติราชการ และงบฯ ที่จะกันไว้กองกลาง เพื่อจัดสรรให้จังหวัดที่นำเสนอโครงการที่ดี ทั้งนี้ นายกฯได้ขอให้แต่ละจังหวัดปรับยุทธศาสตร์ในการพัฒนาจังหวัดใหม่ โดยกำหนดยุทธศาสตร์สำคัญเพียง 1-2 ประเด็นเท่านั้น และไปเน้นดำเนินการให้เสร็จตั้งแต่ต้นทางไปยังปลายทาง อาทิ ถ้าจังหวัดไหนจะชูยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว ก็ต้องระบุให้ชัดเจนว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงไหน ตั้งเป้าหมายอย่างไร


วันเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "ทิศทางประเทศไทยในยุคโลกาภิวัตน์" ในการสัมมนาวิชาการประจำปี 2552 เนื่องในวาระครบรอบ 60 ปี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ที่หอประชุมศรีบูรพา มธ.ท่าพระจันทร์ ว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับใหม่นั้น ได้เน้นว่า เลี่ยงไม่ได้ในการบริหารยุคโลกาภิวัตน์ ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุด คือ 1.ต้นปี 2551 ยังรู้สึกว่า สถาบันการเงินไทยแข็งแรง ไม่มีปัญหาแม้จะมีวิกฤตที่อื่นในโลก แต่ไทยน่าจะมีภูมิคุ้มกัน และปลายปี 2551 ชัดเจนว่า แม้พื้นฐานของไทยไม่มีปัญหา แต่ไทยเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลก จึงได้รับผลกระทบด้านส่งออก การท่องเที่ยว และจีดีพี


2.ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เห็นชัดว่า เชื้อโรคไม่ได้เลือกพรมแดนทุกสังคมและเศรษฐกิจต้องผูกพันกับโลกาภิวัตน์เลี่ยงได้ยาก วิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้อาจไม่เกิดขึ้น หากสามารถแก้ความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลก เพราะจีนสะสมเงินทุนสำรองมากขึ้น แต่อเมริกาขาดดุล จนพัฒนาการเศรษฐกิจและการเมืองของอเมริกาเป็นฟองสบู่ เมื่อมีปัญหาแล้วก็ไม่มีกลไกการนำเงินส่วนเกินในหลายประเทศไปแก้ไขปัญหาระบบการเงินในอเมริกาและยุโรป เรื่องนี้พูดกันมากในที่ประชุมผู้นำระดับประเทศต่างๆ ส่วนความสัมพันธ์ของเอกชนนั้นมันเกินเลยกว่าที่ประเทศใดๆจะจัดการได้


ด้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พร้อมด้วยนายไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย (พท.) ร่วมแถลงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่รับผิดชอบโดยตรงโครงการรับจำนำข้าว ให้ดูแลราคาข้าว เนื่องจากขณะนี้ข้าวถุงทุกชนิดมีราคาสูงขึ้น สวนทางกับรายได้ของประชาชน ทำให้รายได้ไม่พอกับรายจ่าย โดยขอให้รัฐบาลนำข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวที่ยังค้างสต๊อคอยู่ออกมาบรรจุถุง เพื่อจำหน่ายให้กับประชาชนที่เดือดร้อน ในหมู่บ้านชนบทต่างๆ

 

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Special ! Distance Learning 2009 From FTPI



 
From: Kamonchanok Dettheeratt <Kamonchanok@ftpi.or.th>
Date: ก.ค. 21, 2009 5:38 หลังเที่ยง
Subject: Special ! Distance Learning 2009 From FTPI
To:

เรียน  NEC ทุกท่านและทุกรุ่น

 

             ขอประชาสัมพันธ์ โปรแกรมการศึกษาทางไกล Distance Learning ประจำปี 2552 ตามรายละเอียดด้านล่างนะคะ

 

           

 

                                                                                                                                        

 

 

 

 

Kamonchanok  Dettheeratt (Ms.)

Productivity Promotion Officer

Tel : 0-2619-5500 # 427   Fax : 0-2619-8070

e-mail : kamonchanok@ftpi.or.th

 


From: Distance
Sent: Tuesday, July 21, 2009 5:28 PM
Subject: Special ! Distance Learning 2009 From FTPI
Importance: High

 

โปรแกรมการศึกษาทางไกล Distance Learning ประจำปี 2552

  • เป็นระบบการศึกษาด้วยตนเอง
  • ไม่ต้องเข้าห้องเรียน
  • ไม่เสียเวลาทำงาน
  • ไม่ต้องเดินทาง
  • เน้นการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้กับงานได้จริง
  • มีระบบประเมินผล และใบรับรองการเรียน
  • ประหยัดค่าใช้จ่ายเหมาะกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน

 

รหัส

 

หลักสูตร

เปิด-ปิดรับสมัคร

ระยะเวลาการศึกษา

ค่าธรรมเนียม

Special

 

พื้นฐานการเพิ่มผลผลิต

สำหรับพนักงาน รุ่นที่ 25

20 ก.ค. - 20 ส.ค. 52

7 ก.ย. 11 ต.ค. 52

750 บาท

(รวม VAT 7%)

Special

 

 

ทักษะการเป็นหัวหน้างาน รุ่นที่ 16

22 มิ.ย. 24 ส.ค. 52

7 ก.ย. - 18 ต.ค. 52

800 บาท

(รวม VAT 7%)

Special

 

 

เทคนิคการเพิ่มผลผลิตสำหรับ

หัวหน้างานและวิศวกร รุ่นที่ 15

 

20 ก.ค. 20 ส.ค. 52

7 ก.ย. 18 ต.ค. 52

600 บาท

(รวม VAT 7%)

Special

 

การบำรุงรักษาทวีผล
แบบทุกคนมีส่วนร่วม รุ่นที่ 13

20 ก.ค. 20 ส.ค. 52

7 ก.ย. 29 พ.ย. 52

1,150 บาท

(รวม VAT 7%)

Special

 

แนวทางปฏิบัติเพื่อกำจัด

ความสูญเสีย รุ่นที่ 10

20 ก.ค. - 20 ส.ค. 52

7 ก.ย. 17 ต.ค. 52

1,000 บาท

(รวม VAT 7%)

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
การศึกษาทางไกล ส่วนบริการฝึกอบรมและสัมมนา สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ
โทรศัพท์ 0-2619-5500 Ext. 456-458 (คุณนันทนา คุณวลัยรัตน์ คุณธนพล)
โทรสาร 0-2619-8098

หรือดูรายละเอียด และ Download ใบสมัครได้ที่ www.ftpi.or.th (distance) e-mail: distance@ftpi.or.th

ขออภัยถ้า Email นี้รบกวนท่าน

 



--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.webmaster.or.th
http://www.thailandshowtime.com/2009