ธปท.อ้าแขนรับแบงก์นอก เปิด 3 สาขา-ขยายธุรกิจมากขึ้น | โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 18 สิงหาคม 2552 08:01 น. | |
|
แบงก์ ชาติสนับสนุนให้สาขาธนาคารต่างชาติเปิดสาขาเพิ่มได้เป็น 3 สาขา พร้อมแนะปรับเปลี่ยนเป็นบริษัทย่อยมากขึ้น หวังให้ต่างชาตินำเทคโนโลยีและความรู้ใหม่ๆ เข้ามาพัฒนาระบบการเงินไทย นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การใช้แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (มาสเตอร์แพลน) ฉบับที่ 2 ในช่วงไตรมาสที่ 4 นี้ แนวทางหนึ่งที่จะผ่อนคลายให้สาขาธนาคารต่างชาติจากเดิมที่มีการเปิดสาขาได้ แค่เพียงสาขาเดียวจะเพิ่มเป็นเปิดสาขาได้เพิ่มอีก 2 แห่ง ทำให้สาขาธนาคารต่างชาติสามารถเปิดสาขาไทยได้ 3 สาขา ขณะที่ธนาคารต่างชาติที่จดทะเบียนในไทย ซึ่งมีบริษัทแม่ในต่างประเทศจะเปิดสาขาเพิ่มเติมได้เช่นกัน "แบงก์ชาติต้องการสนับสนุนให้สถาบันการเงินในต่างประเทศเข้ามามี บทบาทมากขึ้น เพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ๆ และความรู้ด้านการเงินใหม่ๆ เข้ามาพัฒนาระบบการเงินไทย เราจึงจูงใจให้สถาบันการเงินต่างชาติเปลี่ยนจากสาขามาเป็นบริษัทย่อยมากขึ้น " ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.กล่าว ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ไทยจะไม่อนุญาตให้เพิ่มจำนวนสถาบันการเงินในระบบ เพิ่มเติม แต่หันมาเน้นการควบรวมกิจการให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ไทยมีการเติบโตที่แข็งแกร่งและมีเสาหลักในการทำธุรกิจ ที่มีความมั่นคง ธปท.จึงได้ส่งเสริมแนวทางนี้ และวิธีหนึ่งที่ ธปท.ได้เสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาอยู่ คือ การลดหย่อนภาษีในการโอนสินทรัพย์ระหว่างกัน เนื่องจากมองว่าภาษีถือเป็นต้นทุนที่สำคัญ หากมีการลดส่วนนี้ได้เชื่อว่าจะเป็นการจูงใจให้นักลงทุนชาติเข้ามามีบทบาทใน ไทยมากขึ้น ก่อนหน้านี้ นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการสายเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท.กล่าวว่า แผนมาสเตอร์แพลน ฉบับที่ 2 นี้ ธปท.จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาเป็นผู้เล่นรายใหม่ในระบบการเงิน ไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเข้ามาในรูปแบบธุรกิจเฉพาะที่ระบบเงินไทยยังขาดอยู่ ขณะที่สถาบันการเงินไทยจะขยายขอบเขตในการทำธุรกิจ รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลากหลายมากขึ้น แต่จะเน้นหลักการบริหารความเสี่ยงที่ดี ดังนั้นหากสถาบันการเงินรายใดในระบบดำเนินธุรกิจได้ดี ธปท.พร้อมจะให้ความเป็นอิสระในการทำธุรกิจโดยไม่ต้องเข้าไปกำกับดูแลมาก เหมือนในปัจจุบัน ทั้งนี้ แผนมาสเตอร์แพลนดังกล่าวเป็นแผนพัฒนาระบบการเงินไทยในช่วง 5 ปีข้างหน้า คือ ในช่วงปี 2552-2556 มุ่งเน้น 3-4 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.ลดต้นทุนระบบสถาบันการเงินไทยต่ำลง เพื่อช่วยให้ผู้ใช้บริการได้รับต้นทุนต่ำ และสถาบันการเงินไทยสามารถแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ต่างชาติได้ 2.สร้างประสิทธิภาพระบบการเงินไทยให้มากขึ้น โดยเฉพาะตัวชี้วัดด้านอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ให้สามารถปรับลดลงได้อีกและในระยะยาวคือ ไม่เกิน 5 ปีนี้ ควรอยู่ในระดับต่ำ "ในส่วนของการสร้างประสิทธิภาพระบบการเงินให้มีมากขึ้นธปท.ยังเน้น ให้มีการลดบทบาทของภาครัฐในการเข้าไปบริหารจัดการธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ซึ่งยอมรับว่าที่ผ่านมาการดำเนินการดังกล่าวภาครัฐไม่ประสบความสำเร็จ และไม่สะท้อนการทำงานของภาคเอกชนแท้จริง"นายบัณฑิตกล่าว 3.การเข้าถึงบริการทางการเงินมากขึ้น โดยเน้นให้ระบบสถาบันการเงินไทยมีบริการสถาบันการเงินระดับรากหญ้า(ไมโคร ไฟแนนซ์) อิสลามไฟแนนซ์ การปริวรรตเงินตรา และรับฝากหลักทรัพย์ เป็นต้น และ 4.การพัฒนาการบริหารความเสี่ยงธนาคารพาณิชย์ไทยดีกว่าในปัจจุบัน เพื่อไม่ให้สถาบันการเงินไทยเสียเปรียบการแข่งขันกับต่างชาติ จึงควรพัฒนาโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องมีให้ครบมากกว่าในปัจจุบัน อาทิ การพัฒนาข้อมูลเครดิต ปรับปรุงกฎหมาย พัฒนาบุคลากร และพัฒนาตลาด โดยเฉพาะการประกันความเสี่ยง | http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9520000093489 |
|
| คลังข้อมูลข่าวธุรกิจ | | | | |
--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!
http://www.parent-youth.nethttp://ilaw.or.thhttp://ww2.oja.go.th/home http://www.thaihof.orghttp://thainetizen.orghttp://www.ictforall.orghttp://www.projectlib.in.th http://elibrary.nfe.go.thhttp://www.nstda.or.th/thhttp://www.arda.or.thhttp://www.nppdo.go.th http://www.tlcthai.comhttp://dbd-52.hi5.comhttp://www.oknation.net/blog/assistance http://weblogcamp2009.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น