กาฬโรค
สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่ามีการ “ปิดเมือง” จื่อเคอทัน และพื้นที่บริเวนโดยรอบในมณฑลชิงไห่ ทางทิศตะวันตกของจีน หลังพบผู้เสียชีวิต 2 คน ที่ป่วยเป็นโรค “กาฬโรคปอดบวม” หรือ “Pneumonic Plague” ซึ่งถือว่าเป็นโรคระบาดร้ายแรงชนิดหนึ่งของโลก
กาฬโรคปอดบวม เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่สามารถแพร่เชื้อในอากาศ และติดต่อจากการไอจาม คล้ายคลึงกับกาฬโรคที่ต่อมน้ำเหลืองบวมอักเสบหรือ “Bubonic Plague” ที่เคยระบาดครั้งใหญ่เมื่อยุคกลางและทำให้มีผู้เสียชีวิตนับล้านคน
สำหรับประเทศไทยรายงานข่าวแจ้งว่า ครั้งสุดท้ายที่มีการพบการระบาดในประเทศคือเมื่อปี 2495 และด้วยสภาพที่เมืองในประเทศจีนที่ถูกปิดไปอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ในเมืองมีประชากรเพียง 10,000 คน การแพร่ระบาดต่อในจีน หรือข้ามประเทศมายังไทย โอกาสยังน้อย
แต่ก็อย่าลืมว่า เมื่อครั้งไข้หวัดใหญ่ 2009 มาใหม่ๆ หลายคนประมาท โดยเฉพาะหน่วยราชการที่รับผิดชอบ จึงไม่ทันระวังตัว และต้องเผชิญกับการระบาดที่ควบคุมยังไม่ได้จนทุกวันนี้ จึงจำเป็นที่หน่วยงานราชการจะต้องมีการติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และมีการรายงานให้ประชาชนทราบโดยตลอด
รวมไปถึงประชาชนทุกคนด้วย ที่จะต้องเป็นหูเป็นตา คอยสังเกตอาการคนรอบข้าง ทั้งยังต้องปฏิบัติตนด้วยความมีวินัย มีการรักษาความสะอาด มีสุขภาพ พลานามัยที่ดี
เพราะในโลกยุคปัจจุบันจะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด การติดต่อสื่อสารรวดเร็ว การที่คนซักคนที่มีเชื้อโรคระบาดจะเดินข้ามพรมแดน หรือบินข้ามน้ำข้ามทะเลมามีความเสี่ยงพอๆกัน จะห่างไกลอย่างไรก็ไม่เหมือนสมัยก่อนที่คำว่าห่างไกลนั้น ติดต่อกันยากจริงๆ
และขนาดเดินทางถึงกันลำบากทุรกันดานอย่างในยุคกลาง ยังมีคนตายร่วม 25 ล้านคน แล้วในยุคที่ถนนลาดยางลาดคอนกรีตถึง มีสนามบินทันสมัย หากระบาดขึ้นมาจะไม่มากกว่าได้อย่างไร
ส่วนเชื้อความรุนแรงของเชื้อโรค จะว่ารุนแรงกว่าเดิมก็คงไม่ใช่ และด้วยการแพทย์สมัยใหม่ย่อมรู้จักและเข้าใจสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ และมีวิธีป้องกัน แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าไวรัสหรือเชื้อโรคที่มีอยู่ในยุคนี้ อาจ “กลายพันธุ์” ผิดแผกแตกต่างจากในอดีต
ทั้งยังมี “ภูมิต้านทาน” ต่อยาต่างๆที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์คิดค้นไว้เพื่อป้องกันและรักษาโรค ขนาด “ไข้หวัดใหญ่” ยังมี “สายพันธุ์ใหม่” ได้ แล้วกาฬโรคจะไม่มี “วิวัฒนาการ” บ้างเชียวหรือ
จากที่ได้เคยมีโอกาสคุยหรือสัมภาษณ์แพทย์หลายคนทั้งที่เป็นแพทย์สมัยใหม่และแพทย์ทางเลือก ถึงสาเหตุที่ทำไมจึงปรากฏโรคเดิมๆที่นึกว่าหมดไปจากพื้นโลกแล้ว กลับมาคุกคามมนุษย์อีก และมีความรุนแรงมากกว่าเดิม
ซึ่งแต่ละคนมีข้อสันนิษฐานของตนเอง แต่จะใกล้เคียงกันในประเด็นที่ว่า เชื้อโรคเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหน เสมือนในร่างกายมนุษย์ก็มีเชื้อโรคต่างๆอยู่ เพียงแต่ว่าในโลกปัจจุบันมนุษย์ได้รุกล้ำเข้าไปทุกซอกทุกมุม และต้องไปรับเชื้อโรคเดิมๆมาอีก
ขณะที่สิ่งแวดล้อมของโลกก็ทรุดโทรมลง ดูด้วยตาตึกรามบ้านช่องอาจจะสะอาดขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์ได้ทำลายธรรมชาติ มีทั้งกากอุตสาหกรรม ขยะ และการทำให้มลพิษเกิดขึ้นทั้งในน้ำและอากาศ ซึ่งมีผลโดยรวมคือทำให้ภูมิต้านทานของโลกนั้นอ่อนแอลง
เพียงแค่ภูมิอากาศที่แปรเปลี่ยน ภาวะ “โลกร้อน” ที่เกิดขึ้น ทำให้ “ยุง” มีมากขึ้น “พาหะ” ของโรคที่ตามมากับยุงก็เพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา
ขณะที่สิ่งสกปรก เศษอาหารที่ทิ้งสะสมหมักหมมอยู่ได้เป็นแหล่งอาหารของแมลงและสัตว์ต่างๆ เช่น แมลงสาป หรือหนู ซึ่งเจ้าตัวหลังนี้คือ “พาหะ” ของกาฬโรคที่น่ากลัว
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องตระหนักว่าเป็นปัญหาใหญ่ และจะไม่หมดสิ้นไปง่ายๆ มีแต่จะเพิ่มความรุนแรง และมีการปรากฏตัวของโรคใหม่ๆมากขึ้นทุกวัน
มาตรการที่รักษาความสะอาดอย่างเช่นที่รณรงค์อยู่เพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่ จึงควรที่จะเป็น “มาตรฐาน” ของการใช้ชีวิตประจำวันของทุกคน จะกินของร้อน ใช้ช้อนกลาง ล้างมือ มีเจล มีหน้ากาก และการที่จะต้องระมัดระวังความสะอาดของอาหารการกิน ที่อยู่อาศัย และสถานที่ทำงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น